TNN ประธานอียูเตือน "โอไมครอน" อาจกลายเป็นโควิดสายพันธุ์หลักในยุโรป ม.ค.นี้

TNN

เกาะติด COVID-19

ประธานอียูเตือน "โอไมครอน" อาจกลายเป็นโควิดสายพันธุ์หลักในยุโรป ม.ค.นี้

ประธานอียูเตือน โอไมครอน อาจกลายเป็นโควิดสายพันธุ์หลักในยุโรป ม.ค.นี้

ประธานคณะกรรมการสหภาพยุโรปเตือนเชื้อไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ “โอไมครอน” (Omicron) อาจกลายเป็นสายพันธุ์หลักในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ภายในช่วงกลางเดือนมกราคม แต่ยืนยันมีวัคซีนเพียงพอในการรับมือ และองค์การยายุโรป ยังได้อนุมัติวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เป็นวัคซีนกระตุ้นภูมิแล้ว

วันนี้ (16 ธ.ค.64) “อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน” ประธานคณะกรรมการสหภาพยุโรป หรือ EU กล่าวต่อรัฐสภายุโรปในวันพุธตามเวลาท้องถิ่น อ้างข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เตือนว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ “โอไมครอน” อาจกลายเป็นสายพันธุ์หลักในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ภายในช่วงกลางเดือนมกราคมที่จะถึงนี้ 

แต่ยืนยันว่า 27 ประเทศสมาชิกอียูมีวัคซีนเพียงพอในการต่อสู้กับการระบาดของโอไมครอน โดยขณะนี้ ยุโรปสามารถผลิตวัคซีนได้ 300 ล้านโดสต่อเดือน และตอนนี้หลายประเทศก็เดินหน้าฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิเข็ม 3 กันแล้วเพื่อป้องกันไวรัสโอไมครอนที่กำลังระบาดอย่างรวดเร็ว 

ฟอน แดร์ ไลเอิน กล่าวว่า เวลานี้ประเทศสมาชิกอียูหลายประเทศตรวจพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นทั้งจากสายพันธุ์โอไมครอนและเดลตา ซึ่งยุโรปกำลังเตรียมตัวรับมือการระบาดระลอกใหม่นี้ด้วยการเร่งขยายการฉีดวัคซีนโควิดให้แก่ประชาชน 

ขณะนี้ ประชาชนในประเทศสมาชิกอียูราวร้อยละ 66.6 ฉีดวัคซีนครบสองโดสแล้ว คิดเป็นจำนวนมากกว่า 300 ล้านคน ในจำนวนนี้ 62 ล้านคนได้รับวัคซีนเข็ม 3 แล้ว

คำเตือนของประธานคณะกรรมการอียูมีขึ้นหลังจากที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงในวันอังคารว่า เชื้อไวรัสโอไมครอนอาจจะระบาดเข้าไปในประเทศส่วนใหญ่ของโลกแล้ว แม้ว่าหลายประเทศยังไม่มีรายงานการพบผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้ก็ตาม 

โดยเทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ของ WHO กล่าวที่นครเจนีวาว่า เชื้อโอไมครอนกำลังแพร่ระบาดในอัตราที่รวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นนี้อาจสร้างภาระหนักให้แก่ระบบสาธารณสุขในหลายประเทศอีกครั้ง

นายเทดรอส ยังกล่าวถึงข้อมูลเบื้องต้นก่อนหน้านี้ที่ว่า เชื้อโอไมครอนอาจไม่อันตรายเท่ากับเชื้อโคโรนาไวรัสกลายพันธุ์อื่น ๆ โดยบอกว่า "เราประเมินไวรัสโอไมครอนต่ำเกินไป"

ขณะเดียวกัน สำนักงานยายุโรป หรือ EMA แถลงในวันพุธว่า วัคซีนโควิดของ "จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน" (Johnson & Johnson) ผ่านการอนุมัติให้ใช้เป็นวัคซีนกระตุ้นภูมิให้ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปได้แล้ว โดยให้ฉีดห่างกัน 2 เดือนหลังฉีดวัคซีนเข้มแรก หรือหลังจากได้รับวัคซีน mRNA ชนิดอื่น นับเป็นวัคซีนชนิดที่ 3 ต่อจากไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค (Pfizer-BioNTech) และโมเดอร์นา (Moderna) ซึ่งสำนักงานยายุโรป ที่ตั้งอยู่ในกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ อนุมัติเป็นวัคซีนกระตุ้นภูมิสำหรับผู้ใหญ่ไปก่อนหน้าแล้ว

EMA ระบุว่า เฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิดถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดผลข้างเคียง แต่ปัจจุบันนี้ ยังไม่มีรายงาน



ภาพจาก AFP

ข่าวแนะนำ