มาเลย์จ่อโละ "แอสตราเซเนกา" ออกจากโครงการฉีดวัคซีนแห่งชาติ

วันนี้( 29 เม.ย.64) Straits Times รายงานว่า ไครี จามาลุดดิน รัฐมนตรีประสานงานด้านการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของมาเลเซีย เปิดเผยว่า มาเลเซียจะตัดวัคซีนต้านโควิดของ AstraZeneca (แอสตราเซเนกา) ออกจากโครงการฉีดวัคซีนแห่งชาติให้แก่ชาวมาเลเซีย เนื่องจากไม่เชื่อมั่นในการใช้วัคซีนตัวนี้ หลังหลายประเทศในยุโรปพบปัญหาลิ่มเลือดอุดตันในผู้ได้รับวัคซีนของ AstraZeneca 

ไครี ยอมรับว่า แม้มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันประสิทธิภาพและประโยชน์ของวัคซีน AstraZeneca แต่ยังไม่สามารถเอาชนะความลังและและไม่เชื่อมั่น ที่เกิดจากความเสี่ยงที่มากับวัคซีนตัวนี้ได้

อย่างไรก็ตาม ชาวมาเลเซียคนใดที่ยังต้องการฉีดวัคซีนของ AstraZeneca ยังคงเลือกที่จะรับวัคซีนตัวนี้ได้ต่อไปตามความสมัครใจ

การตัด AstraZeneca ออกไป ทำให้โครงการฉีดวัคซีนแห่งชาติของมาเลเซีย จะเหลือวัคซีนต้านโควิดอยู่เพียง 2 ตัว คือ Pfizer-BioNTech และ Sinovac ที่จะฉีดให้แก่ชาวมาเลเซีย และอาจส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการฉีดวัคซีนของมาเลเซีย ที่ต้องการฉีดวัคซีนต้านโควิดให้ได้เร็วและมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เร็วที่สุด

มาเลเซียเริ่มโครงการฉีดวัคซีนแห่งชาติเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และขณะนี้เข้าสู่เฟสที่ 2 ของการฉีดให้แก่กลุ่มเสี่ยงสูง โดยตั้งความหวังจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อที่จะยกเลิกมาตรล็อกดาวน์ทั่วประเทศอย่างเข้มงวด หลังจากเพิ่งต่อเวลามาตรการโควิดเป็นเดือนที่ 4 แล้ว และยาวไปจนถึงเดือนพฤษภาคมนี้

การตัดสินใจตัดวัคซีนของ AstraZeneca ออกไปครั้งนี้ ยังเกิดขึ้นในขณะที่มาเลเซียกำลังเกิดการระบาดของโควิดเป็นรอบที่ 3 ที่เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมปีนี้ และรอบที่ 4 ก็ยังอาจมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น

โดยสถานการณ์ระบาดในมาเลเซียล่าสุด ยอดรวมผู้ติดเชื้อโควิด เพิ่งทะลุ 400,000 คน ล่าสุดอยู่ที่เกือบ 401,600 เพิ่มขึ้น 3,142 คนในรอบ 24 ชั่วโมงล่าสุด ส่วนยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 1,477 คน เพิ่มขึ้น 15 คน โดยมาเลเซียพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นวันละกว่า 2,000 คนตั้งแต่วันที่ 15 เมษายนเป็นต้นมา