TNN ผู้เชี่ยวชาญชี้เลือดแข็งจากวัคซีนโควิดเกิดยากมาก

TNN

เกาะติด COVID-19

ผู้เชี่ยวชาญชี้เลือดแข็งจากวัคซีนโควิดเกิดยากมาก

ผู้เชี่ยวชาญชี้เลือดแข็งจากวัคซีนโควิดเกิดยากมาก

นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญของออกซฟอร์ด ที่ร่วมพัฒนาวัคซีนแอสตราเซเนกา ระบุผลข้างเคียงกับระบบเลือด "เกิดขึ้นได้ยากมาก" แต่ต้องศึกษาเพิ่มเติมอย่างละเอียด

วันนี้ ( 25 เม.ย. 64 )ศาสตราจารย์ เอเดรียน ฮิลล์ นักวัคซีนวิทยาชาวไอริช ผู้อำนวยการสถาบันเจนเนอร์แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ซึ่งเป็นผู้พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคหลายชนิด รวมถึงมาลาเรีย อีโบลา และล่าสุดคือโควิด-19 กล่าวถึงการที่วัคซีน "แวกเซฟเรีย" ( Vaxzevria ) "ADZ1222" หรือ "ChAdOx1" ที่ออกซฟอร์ดพัฒนาร่วมกับบริษัทแอสตราเซเนกา เพื่อใช้ป้องกันไวรัสโควิด-19 ยังคงเป็นที่ถกเถียงในวงกว้าง  เกี่ยวกับผลข้างเคียงร้ายแรง เช่น ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน และเกล็ดเลือดต่ำ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า การฉีดวัคซีนให้ประโยชน์แก่ตัวบุคคล มากกว่าความเสี่ยง ที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์รุนแรง


ศ.ฮิลล์กล่าวว่า ผลข้างเคียงร้ายแรงจากการได้รับวัคซีน เป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้ยากมาก ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนของแอสตราเซเนกา/ออกซฟอร์ด หรือวัคซีนยี่ห้ออื่น และวัคซีนที่พัฒนาด้วยวิธีใดก็ตาม ซึ่งในขั้นทดสอบทางคลินิก มีอาสาสมัครเข้าร่วมนับหมื่นนับแสนคน โดยจาก 300,000 คน อาจมีคนป่วยคนหนึ่ง และจาก 1 ล้านคนอาจมีผู้เสียชีวิต 1 คน อย่างไรก็ตาม ในกรณีของการใช้วัคซีนท่ามกลางภาวะวิกฤติเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องดีที่ตรวจพบได้เร็ว


ศ.ฮิลล์ตั้งสมมุติฐานว่า ความแตกต่างด้านพันธุกรรมของประชากรโลก ซึ่งมีหลากหลายเชื้อชาติและสีผิว อาจมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดอาการข้างเคียงร้ายแรงหลังได้รับวัคซีน ตอนนี้ทีมงานกำลังศึกษาวิเคราะห์อย่างละเอียด ก่อนดำเนินการขั้นต่อไป เพื่อยกระดับการให้วัคซีนสามารถกระตุ้นให้ร่ายการสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่านี้


ทั้งนี้ วัคซีนของแอสตราเซเนกา/ออกซฟอร์ด ใช้เทคโนโลยีไวรัสเป็นพาหะ ( Viral Vector ) อาศัยอะดีโนไวรัสของลิงชิมแปนซี ผู้พัฒนาเชื่อมั่นว่า สามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ ให้ผลิตโปรตีนในจำนวนที่เหมาะสม เพื่อต่อต้านเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยกระทรวงสาธารณสุขของสหราชอาณาจักรแนะนำการฉีดวัคซีนของแอสสตราเซเนกา/ออกซฟอร์ด  ห่างกัน 12 สัปดาห์ ระหว่างเข็มแรกกับเข็มที่สอง

ข่าวแนะนำ