ศูนย์จีโนมฯเตือนยอดโควิดลด แต่วัคซีนยังจำเป็นไว้ป้องกันเชื้อBA.4-BA.5
ศูนย์จีโนมฯเตือนอย่างเพิ่งวางใจยอดติดโควิดลดลง แต่การฉีดวัคซีนยังจำเป็นเพื่อป้องกันตนเองจากเชื้อกลายพันธุ์ BA.4-BA.5
วันนี้( 6 พ.ค.65) ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ (Center for Medical Genomics) คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความระบุว่า ผู้ติดเชื้อโอไมครอนรายใหม่และผู้ที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทยขณะนี้มีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่องจนอาจเข้าสู่ภาวะ “โรคประจำถิ่น” ที่ระบบสาธารณสุขสามารถควบคุมการระบาดได้ แต่เหตุใดจึงยังสมควรต้องเร่งฉีดวัคซีนเข็มแรกหากยังไม่เคยฉีดและฉีดเข็มกระตุ้นทันทีเมื่อครบกำหนด
คำตอบคือองค์การอนามัยโลกได้ออกมาเตือนถึงการระบาดของโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย “BA.4” และ “BA.5” ในประเทศแอฟริกาและ “BA.2.12.1” ในสหรัฐอเมริการะลอกใหม่ (next wave ดูภาพ) โดยนักวิจัยทั่วโลกประเมินว่าอาจมีการระบาดเข้ามาแทนที่ BA.2 และมีแนวโน้มสูงที่จะแพร่ไปทั่วโลกเหมือนกับเหตุการณ์การระบาดใหญ่ของโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิมจากประเทศแอฟริกาใต้เมื่อปีที่แล้ว (พฤศจิกายน 2564)
ทีมวิจัยของประเทศแอฟริกาใต้ที่พบโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม(B.1.1.529) เมื่อปี 2564 เป็นผู้ตรวจพบโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยที่อุบัติใหม่ BA.4 และ BA.5 ด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม
จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่าแอนติบอดีที่ร่างกายเราสร้างขึ้นจากการติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม BA.1 ตามธรรมชาติ (natural infection) ไม่สามารถปกป้องการติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ที่อุบัติใหม่ อย่าง BA.4, BA.5 และ BA.2.12.1 ได้ดี
คนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนแต่เพิ่งหายขาดจากการติดเชื้อ BA.1 พบว่าความสามารถของแอนติบอดีในร่างกายที่จะต่อต้านไวรัส BA.4 และ BA.5 ลดลงมากกว่า 7 เท่า เมื่อเทียบกับความสามารถในการต่อต้าน BA.1 ในขณะที่ผู้ที่เคยฉีดวัคซีน (วัคซีนผลิตจากส่วนหนามของไวรัสดั้งเดิมอู่ฮั่น) และเพิ่งหายจากการติดเชื้อ BA.1 ตามธรรมชาติ ความสามารถของแอนติบอดีในร่างกายที่จะต่อต้านไวรัส BA.4 และ BA.5 ลดลงไปเพียง 3 เท่า
อันหมายถึงลำพังแอนติบอดีจากการติดเชื้อโอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิมตามธรรมชาติไม่สามารถปกป้องการติดเชื้อ BA.4 และ BA.5 ได้ดีนัก แต่หากมีการฉีดวัคซีนก่อนและมีการติดเชื้อ BA.1 ร่วมด้วย แอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นจะสามารถยับยั้งไวรัส BA.4 และ BA.5 ได้ในระดับหนึ่ง ทำให้ไม่ป่วยไม่ตาย เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนแต่มีการติดเชื้อ BA.1 ตามธรรมชาติแต่เพียงอย่างเดียว
หมายเหตุ1: ความสามารถของแอนติบอดีในร่างกายที่จะต่อต้านไวรัส (ในกรณีของไวรัสไข้หวัดใหญ่)ลดลง 8 เท่า เป็นเกณฑ์บ่งชี้ว่าได้มีการสูญเสียความสามารถในการป้องกันต้องมีการปรับปรุงวัคซีน(ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล)อย่างเร่งด่วน
หมายเหตุ2: ผู้เชียวชาญบางท่านเห็นว่าแม้ BA.4 และ BA.5 จะเกิดการระบาดใหญ่ในประเทศแอฟริกาใต้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถแพร่ระบาดไปยังประเทศอื่นร่วมด้วย ตัวอย่างเช่นสายพันธุ์เบตา เราพบการระบาดใหญ่เพียงในประเทศแอฟริกาใต้เท่านั้น สายพันธุ์เบต้าไม่ประสบความสำเร็จในการแพร่ระบาดในประเทศอื่นเป็นต้น ปัจจัยจากสิ่งแว้ดล้อม เชื้อชาติ ฯลฯ ก็มีผลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ในแต่ละประเทศหรือภูมิภาคด้วยเช่นกัน
ไวรัส BA.4 และ BA.5 และ BA.2.12.1 มีการกลายพันธุ์ร่วมที่ตำแหน่ง “452” บนจีโนมของพวกมัน (ดูภาพ) ทำให้ส่วนหนามมีความเสถียรยิ่งขึ้นเข้าไปยึดเกาะกับปุ่มที่เรียกว่า “ACE-2 receptor” ที่ผิวเซลล์ของผู้ติดเชื้อได้แน่นขึ้นทำให้สามารถแทรกตัวเข้าไปภายในเซลล์ได้ดีขึ้น (ดูภาพ) และยังทำให้เซลล์มาเชื่อมต่อกัน(cell fusion) กลายเป็นเซลล์ใหญ่เซลล์เดียว (syncytia giant cell) ช่วยให้ไวรัสติดต่อระหว่างเซลล์ต่อเซลล์โดยไม่ต้องออกมาภายนอกเซลล์ให้ถูกแอนติบอดีจับกุมทำลาย ทำให้เกิดไวรัสเพิ่มจำนวนในระหว่างกลุ่มเซลล์อย่างรวดเร็ว
ไวรัส BA.4 และ BA.5 มีการเปลี่ยนแปลงที่ตำแหน่ง “486” ด้วยเช่นกัน คาดว่าช่วยให้ไวรัสซ่อนตัวจากระบบภูมิคุ้มกันของเราได้ในระดับหนึ่ง
ส่วน BA.2.12.1 มีการเปลี่ยนแปลงที่ตำแหน่ง “704” หน้าที่ยังไม่ชัดเจนคาดว่าจะส่งผลให้เซลล์มาเชื่อมต่อหรือผนังเซลล์มาหลอมรวมกัน(cell fusion)
ดังนั้นในช่วง “พักยก” (จำนวนผู้ติดเชื้อโอไมครอนรายใหม่และผู้เสียชีวิตลดลง) จึงควรรีบไปฉีดวัคซีนและเข็มกระตุ้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำหากมีการระบาดของโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4, BA.5 และ BA.2.12.1 เข้ามาในประเทศไทย เพราะภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจากโอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิมอาจไม่ช่วยปกป้องเรามากนักจากโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยอุบัติใหม่
ข้อมูลจาก : ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ (Center for Medical Genomics)
ภาพจาก : AFP