ถอดรหัสการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ของจีน ตอน 2 โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
ถอดรหัสการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ของจีน ตอน 2 โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน
การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ในไทยทำเอา ศบค. ส่งสัญญาณเตือนการล็อกดาวน์แบบเข้มข้น โดยพาดพิงเลยไปถึง “อู่ฮั่นโมเดล” ที่อาจถูกใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการหากสถานการณ์ย่ำแย่ลงไป จนหลายคนถามกันมาค่อนข้างมากว่า อู่ฮั่นโมเดลเป็นเช่นไร จีนทำได้อย่างไร และไทยควรนำเอาอู่ฮั่นโมเดลมาใช้หรือไม่ อย่างไร ...
คลิกอ่านบทความ ถอดรหัสการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ของจีน ตอน 1 โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
บทความนี้ต่อจากตอนก่อนหน้า
ประการที่ 5 จีนใช้นวัตกรรมเข้าเสริม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จีนนำเอานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีมาช่วยแก้ไขปัญหาหลายเรื่องในวงกว้าง ท่านผู้อ่านคงได้มีโอกาสเห็นคลิปนวัตกรรมสินค้าและบริการของจีนที่ผุดออกมามากมายในช่วงหลังนี้
ในการล็อกดาวน์อู่ฮั่น แต่ละห้องพักถูกติดตั้งระบบเซ็นเซอร์และกล้องวงจรปิดไว้ ทันทีที่เปิดประตูห้องพัก สัญญาณก็จะถูกส่งไปที่สถานีตำรวจและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ หรือหากออกไปสูบบุหรี่นอกห้อง เพื่อนบ้านก็อาจโทรศัพท์ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคนเหล่านั้นก็จะถูกลงโทษ
โชคดีที่จีนพัฒนาระบบ 5G ออกมาเริ่มใช้ตั้งแต่ปลายปี 2018 ทำให้สามารถต่อยอดและนำเอาระบบ Anti-Virus Code หรือ Health QR Code ซึ่งเป็นโปรแกรมประเมินระดับความเสี่ยงติดเชื้อ (เขียว-เหลือง-แดง) เข้ามาติดตั้งเป็นมินิแอพในอาลีเพย์และวีแชตในโทรศัพท์มือถือ
เจ้าหน้าที่ในแต่ละแหล่งชุมชนจะขอตรวจดูสถานะความเสี่ยงของการติดเชื้อว่าเป็นสีอะไร ถ้าไม่ใช่สีเขียวก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพื้นที่ชุมชน และหากเป็นสีแดงหรือสีส้ม ก็จะมีบุคลากรทางการแพทย์สอบถาม ให้คำปรึกษา และรับตัวไปรักษาในทันทีตามระดับสถานะความเสี่ยง
จีนนำเอาหุ่นยนต์ รถไร้คนขับ และอื่นๆ ไปช่วยในการจัดเก็บและดึงข้อมูลออกมาใช้ มาช่วยทำอาหารปรุงสุก จัดส่งข้าวของ ฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อเพื่อทำความสะอาดถนนและอาคาร หรือแม้กระทั่งการใช้โดรนที่ติดตั้งกล้องพร้อมเชื่อมโยงระบบจดจำใบหน้าและปัญญาประดิษฐ์ ไปช่วยในการกำกับควบคุมและเคลื่อนย้ายผู้คนในช่วงวิกฤติ
จีนยังนำเอาระบบ 5G มาต่อยอดเพื่อการรักษาพยาบาลทางไกล (Telemedicine) ซึ่งช่วยให้คำปรึกษาและรักษาพยาบาลเพื่อบรรเทาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ในบางพื้นที่
นอกจากนี้ การตรวจเชื้อเชิงรุกยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จีนทำได้ดีมาก จีนพัฒนาศูนย์ตรวจสอบเชื้อ “ดวงตาไฟ” ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยสามารถตรวจสอบได้ถึงวันละ 1.5 ล้านเคส โดยใช้เวลาก่อสร้างเพียง 10 ชั่วโมง และสามารถจัดเก็บและนำไปใช้ใหม่ได้
จีนนำศูนย์ตรวจเชื้อดังกล่าวที่เคยใช้ที่อู่ฮั่นดังกล่าวไปใช้ในเมืองอื่นๆ อาทิ นครฮาร์บิน เมืองเอกของมณฑลเฮยหลงเจียง นครสือเจียจวง เมืองหลักของมณฑลเหอเป่ย ปักกิ่ง และล่าสุดก็ถูกนำไปช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ภายใต้ “กวางตุ้งโมเดล” ที่เซินเจิ้น โฝซาน และกวางโจว
หากคิดว่าโควิด-19 ยังจะอยู่กับไทยไปอีกระยะหนึ่ง การจัดซื้อศูนย์ตรวจเชื้อดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ก็น่าจะช่วยให้การทราบผลการตรวจเชื้อรวดเร็ว และยับยั้งการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ในการสกัดการแพร่กระจายของเชื้อที่มณฑลกวางตุ้ง จีนก็ได้ใช้ประโยชน์ของระบบ 5G ด้วยการยกระดับระบบการประเมินผลที่สามารถจำแนกระดับความเสี่ยงได้เป็นรายอาคารและบ้านเลขที่เลยทีเดียว โดยวิธีการดังกล่าวทำให้เกิด “ความแม่นยำ” ในการแยกพื้นที่ตามระดับความเสี่ยง ซึ่งทำให้การใช้ชีวิตสะดวกมากขึ้น และการหยุดการแพร่กระจายมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี ใน “กวางตุ้งโมเดล” จีนก็ปรับใช้มาตรการตามสถานการณ์ ใช่ว่าจะตัดเสื้อขนาดเดียวไว้ใส่เสมอไป กล่าวคือ ช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดที่กวางตุ้งเมื่อเดือนที่ผ่านมานั้น คนท้องถิ่นส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนเพียงแค่เข็มเดียว รัฐบาลจีนประเมินว่า เป็นไปได้ยากที่จะฉีดวัคซีนแล้วสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น หรือมากพอที่เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ทันเวลา
รัฐบาลจีนจึงปรับมาตรการเป็นการฉีดวัคซีนควบคู่ไปกับการตรวจเชื้อเชิงรุก โดยห้ามไม่ให้คนที่ยังฉีดวัคซีนไม่ครบโดสและไม่ผ่านการตรวจเชิงรุก เข้าแหล่งชุมชน ซึ่งเป็นเสมือนการกักตัวนั่นเอง แต่ก็ช่วยลดระดับความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อสายพันธุ์ใหม่ที่ดีมาก
การสืบค้นย้อนหลังเพื่อติดตามต้นตอของการแพร่เชื้อก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จีนให้ความสำคัญ โดยระบบการประเมินผลโดยมีปัญญาประดิษฐ์ก็ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลการแพร่กระจายของเชื้อย้อนกลับไปที่ต้นทาง ซึ่งทำให้สามารถช่วยค้นหาสาเหตุและจุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว
รัฐบาลไทยควรพิจารณานำเอาวิธีการนี้มาใช้กับกลุ่มที่ขาดจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายและบทปรับบทลงโทษที่รุนแรง เพราะตลอดเกือบ 2 ปีของวิกฤติในไทย เรามีการกระทำผิดที่เกิดขึ้นอย่างซ้ำซาก อาทิ คลัสเตอร์แรงงานต่างชาติ บ่อนการพนัน และการรวมกลุ่มปาร์ตี้ดื่มแอลกอฮอล์และเสพยาเสพติด
หากไม่ดำเนินการอย่างเด็ดขาดและจริงจัง การแพร่ระบาดก็จะวนเวียนเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งเป็นภาระด้านการสาธารณสุข บ่อนทำลายชีวิตและสุขภาพของประชาชน และบั่นทอนเศรษฐกิจ ผมไม่แน่ใจว่าคนไทยจะทนยอมรับการแพร่ระบาดได้อีกกี่ระลอก ซึ่งกระแสอาจหมุนกลับมากดดันรัฐบาลแทน
นอกจากนี้ โลกดิจิตัลของจีนที่เบ่งบาน และแพร่หลายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันไม่ลำบากอย่างที่คิด การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์พร้อมบริการจัดส่ง และตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติที่วางกระจายตามแหล่งชุมชนในเมือง ช่วยรักษาระยะห่างของผู้คน และลดปัญหาการแพร่ระบาดไปได้มาก
ประการที่ 6 จีนหน้าตักใหญ่ และมีความร่วมมืออันดีระหว่างภาครัฐ-เอกชน-ประชาชน จีนในปัจจุบันไม่ได้ยากจนดังเช่นแต่ก่อน เมื่อเกิดวิกฤติโควิด-19 และรัฐบาลสั่งล็อกดาวน์อู่ฮั่นในวันที่ 23 มกราคม 2020 หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องก็ออกมาตรการความช่วยเหลือแก่ทุกภาคส่วนเป็นระลอก โดยไม่ต้องให้ธุรกิจเรียกร้อง อาทิ การปลดล็อกสินเชื่อแก่ธุรกิจในจีน โดยลดสัดส่วนการสำรองเงินสดของธนาคารพาณิชย์ เพื่ออัดเข้าระบบเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังออกแพ็กเก็จมาตรการสนับสนุนธุรกิจจีนอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SMEs และโรงงานที่ได้รับผลกระทบ อาทิ การพักชำระหนี้ การปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและค่าเช่า การขยายเวลาการชำระภาษี การอุดหนุนค่าใช้จ่ายการวิจัยและพัฒนา การประกันสังคม และการฝึกอบรมและการจัดซื้อออนไลน์
ขณะเดียวกัน โดยที่จีนเป็นสังคมกลุ่ม ซึ่งแตกต่างจากประเทศในโลกตะวันตกที่มีความเป็นปัจเจกชนสูง แถมภาคเอกชนและประชาสังคมก็มีระดับความเชื่อมั่นในรัฐบาลและผู้นำสูงมาก ดังนั้น เราจึงเห็นเอกชนจีนให้การสนับสนุนและความร่วมมืออันดีในการปฏิบัติตามกฎระเบียบและคำแนะนำของภาครัฐ อาทิ การนำเอาพนักงานกลับมาทำงานได้อย่างรวดเร็ว และการหลีกเลี่ยงการไล่พนักงานออกจากงาน ส่งผลให้ปัญหาไม่ขยายวง และช่วยให้วิกฤติคลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว
ผลจากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายทศวรรษหลัง ทำให้กิจการในจีนเติบใหญ่และเต็มไปด้วยพลัง ธุรกิจเหล่านี้ตระหนักดีและใช้ทุกโอกาสในการตอบแทนสังคมเพื่อสร้างแบรนด์ให้เข้าไปครองจิตใจของประชาชน ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายใดๆ ธุรกิจจีนจึงพร้อมจะให้ความช่วยเหลือ และบริจาคเงิน สิ่งของ และอื่นๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย วิกฤติโควิด-19 ที่อู่ฮั่นก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ธุรกิจในจีนได้แสดงถึงน้ำจิตน้ำใจดังกล่าว
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ จิตสำนึกเพื่อส่วนรวมและการบังคับใช้กฎหมายที่เด็ดขาดของรัฐบาลจีน ผมไม่เห็นผู้ประกอบการหรือร้านค้ารายใดในจีนเก็งกำไร หรือจำหน่ายหน้ากากอนามัย และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์เกินราคาในห้วงวิกฤติ
ในทางกลับกัน บ้านเรากลับมีกลุ่มบุคคลที่ฉวยโอกาสกักตุนและจำหน่ายสินค้าจำเป็นดังกล่าวในราคาที่สูงลิ่ว ทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์ โดยไม่สนใจกฎหมายหรือคำนึงถึงความทุกข์ยากของพี่น้องร่วมชาติ คนบางส่วนยังออกมาชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องสิทธิ์โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยจากการติดเชื้อแต่อย่างใด
หากเราใช้หลักการและมาตรฐานเดียวกับจีน ก็หมายความว่า ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรต้องเข้มงวดกับการบังคับใช้กฎหมายโดยไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อลดผลกระทบต่อภาคประชาสังคมที่อาจขยายวงไปยังด้านอื่น
ประการที่ 7 จีนเก่งในเรื่องการแปลงวิกฤติเป็นโอกาส สำหรับผมแล้ว จีนจัดเป็นนักแก้ปัญหา และใช้เป็นโอกาสที่เก่งกาจมาก
อุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์นับเป็น 1 ใน 10 อุตสาหกกรรมเป้าหมายของจีนภายใต้นโยบาย Made in China 2025 ซึ่งเริ่มต้นดำเนินนโยบายนี้เมื่อราว 5 ปีก่อน กอปรกับการกำหนดวิสัยทัศน์ Healthy China 2035 ทำให้จีนมีพื้นฐานที่ดีรองรับอยู่เป็นทุนเดิม
หลังเกิดวิกฤติไปได้ราว 3 เดือน รัฐบาลจีนก็ “ตีธง” ให้หน่วยงานท้องถิ่นในหลายเมืองของจีนประสานกับรัฐสัมพันธ์และฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ของแต่ละกิจการเพื่อทยอยดึงพนักงานกลับมาทำงาน โดยเริ่มจาก 50% เป็น 75% และเต็ม 100% ของจำนวนบุคลากรโดยรวมตามลำดับ
จีนต้องการให้ภาคการผลิตกลับมาโดยเร็ว เพราะตระหนักดีว่า การจ้างงานคือการสร้างกำลังซื้อ และไม่ต้องการเสียโมเมนตัมในการพัฒนาเศรษฐกิจจนยากที่จะกู่กลับ
นอกเหนือจากการสร้างความกระชุ่มกระชวยในภาคการผลิตเพื่อสนองตอบต่อความต้องการภายในประเทศในระยะแรกแล้ว จีนยังตระหนักดีว่า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ขยายวงออกไปทั่วโลก อุปสงค์หน้ากากอนามัยและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล จีนจึงต้องการเอาประโยชน์จากการส่งออกในอนาคต
ในการดำเนินการดังกล่าว จีนไม่เพียงเร่งเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงานเดิม และขยายกำลังการผลิตผ่านการก่อสร้างโรงงานผลิตแห่งใหม่ แต่ยังปรับสายการผลิตสินค้าอื่นมาผลิตสินค้าดังกล่าวที่กำลังมีความต้องการสูงรออยู่
ในประเด็นแรก ต้นทุนการผลิตที่ต่ำลงก็ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาดีขึ้น เพราะต้องไม่ลืมว่าสินค้าจีนยังต้องเผชิญกับการเรียกเก็บอากรนำเข้าที่สูงขึ้นของสหรัฐฯ อันเนื่องจากปัญหาสงครามการค้า ขณะที่ประเด็นหลังนี้ ก็สะท้อนว่า สายการผลิตของจีนมีความยืดหยุ่นและคล่องตัวที่สูงมาก
ผู้ผลิตอย่าง GREE และ BYD แปลงสายการผลิตที่มีอยู่มาเป็นกำลังเสริมได้อย่างรวดเร็ว ทำให้จีนสามารถผลิตเวชภัณฑ์ทางการแพทย์โดยรวมได้เพิ่มขึ้นถึง 22 เท่าตัวในปีที่ผ่านมา
ข้อได้เปรียบอีกประการหนึ่งของจีนก็คือ การมีห่วงโซ่อุปทานที่พร้อมสรรพภายในประเทศ ทำให้สามารถผลิตสินค้าเวชภัณฑ์ทางการแพทย์จนตอบสนองต่อความต้องการของตลาดต่างประเทศได้อย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น การส่งออกเครื่องวัดอุณหภูมิเพิ่มขึ้นถึง 2,350% ของปีก่อน จึงไม่น่าแปลกใจที่เราเห็นยอดการส่งออกของจีนเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมาก และเป็นกลไกสำคัญที่ส่งผลให้จีนกลายเป็นประเทศใหญ่เพียงแห่งเดียวที่เศรษฐกิจกลับมาเป็นบวกได้ ณ สิ้นปี 2020
จีนยังมีความพร้อมในด้านเทคโนโลยี ปัจจุบัน จีนมีวัคซีนที่ผ่าน อย. จีนไปแล้ว 8 ตัว 2 ตัว อันได้แก่ ซิโนฟาร์ม และซิโนแวค ซึ่งเป็นวัคซีนประเภทเชื้อตาย และถูกใช้เป็นวัคซีนหลักในจีนและอีกหลายสิบประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ วัคซีนทั้งสองได้ผ่านการขึ้นทะเบียนวัคซีนฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization) ไปแล้วก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ จีนยังพยายามพัฒนาวัคซีนประเภทอื่นทุกแนวทาง และกระแสข่าวล่าสุดพบว่า จีนกำลังร่วมมือกับต่างประเทศพัฒนาวัคซีน mRNA ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระยะที่ 3 ที่กำลังอยู่ระหว่างการทดสอบกับคนในต่างประเทศ
ประการสำคัญ จีนมุ่งมั่นจะต่อยอดให้วัคซีนตัวใหม่นี้ สามารถจัดเก็บได้ในอุณหภูมิที่ใกล้วัคซีนเชื้อตายให้มากที่สุด แทนที่จะต้องจัดเก็บไว้ต่ำกว่า -70 องศาเซลเซียส ซึ่งหากทำได้ ก็จะทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายของวัคซีนนี้ลดลงได้เป็นอันมาก และจะเป็นประโยชน์ต่อการเข้าถึงวัคซีนดังกล่าวของคนที่มีรายได้ปานกลางและต่ำทั่วโลกในอนาคต
ประการสุดท้าย จีนบูรณาการ และสร้างสรรค์ความคิดอย่างรอบด้าน นับแต่ก่อตั้งประเทศ จีนผ่านร้อนผ่านหนาวกับปัญหาหนักๆ มากมายในอดีต แต่ก็แก้ไขปัญหาทุกเรื่องให้ลดน้อยลงอย่างจริงจัง หัวใจสำคัญเบื้องหลังความสำเร็จก็ได้แก่ การทำงานอย่างบูรณาการและริเริ่มสร้างสรรค์อย่างรอบด้าน
เพื่อคิดค้นวิจัยและผลิตวัคซีนและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้ทันต่อความต้องการ จีนจัดสรรงบสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา และรวบรวมทีมวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สถาบันวิทยาศาสตร์การพยาบาลและมหาวิทยาลัยอื่น ไปช่วยการสืบค้นย้อนหลัง การปรุงยา และการพัฒนาวัคซีนในทุกรูปแบบ
สำนักงานบริการผลิตภัณฑ์ยา ซึ่งกำกับดูแล อย. จีนก็เปิด “ช่องเขียว” สำหรับการพิจารณาอนุมัติการผลิตวัคซีนและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ขณะที่หน่วยงานด้านการเงินและการคลังก็จัดหาสินเชื่อและสนับสนุนการยกเว้นภาษีแก่ผู้ผลิตที่เกี่ยวข้อง ทำให้กำลังการผลิตวัคซีนและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ปีก่อน จีนมีกำลังการผลิตหน้ากากอนามัยถึงวันละ 200 ล้านชิ้น หน้ากาก N95 จำนวน 3.4 ล้านชิ้น และ PPE ถึง 1.5 ล้านชุด และกลายเป็นโอกาสในการส่งออกตามมา
นอกจากนี้ ในช่วงวิกฤติโควิด-19 ปีก่อนที่แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์อื่นต้องทำงานอย่างหนักและต่อเนื่อง จนหลายคนเริ่มเครียด อ่อนแรง ล้มป่วย และเสียชีวิตจากการปฏิบัติงานในครั้งนี้ไปก็มี เมื่อปัญหาการติดเชื้อเริ่มคลายตัว และจำนวนคนไข้ที่ติดเชื้อลดจำนวนลง รัฐบาลจีนก็จัดให้คณะบุคลากรทางการแพทย์เวียนกันไปพักผ่อนและเยี่ยมชมสวนดอกท้อที่งดงามของเมือง เพื่อให้บุคลากรเหล่านั้นได้มีโอกาสพักผ่อนและฟื้นฟูร่างกาย
ผมชอบวิธีการจัดการกับปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัยของรัฐบาลจีน นอกจากการเร่งขยายกำลังการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำยังปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มการผลิตของโรงงานเดิม และสร้างโรงงานใหม่ จีนยังใช้ประโยชน์จากการมีสายการผลิตที่ยืดหยุ่น โดยปรับเปลี่ยนโรงงานผลิตสินค้าอื่น อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้า และสิ่งทอ มาผลิตหน้ากากอนามัยและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว
ประการสำคัญ เพื่อแก้ไขการขาดแคลนและการเก็งกำไรที่อาจจะเกิดขึ้น รัฐบาลจีนประกาศรับซื้อหน้ากากทั้งหมดในราคายุติธรรมจากโรงงานเหล่านี้และกระจายไปยังผู้ใช้และผู้บริโภคปลายทางได้อย่างทั่วถึงในราคาที่เหมาะสม
จีนใช้เครือข่ายซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อที่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ชุมชนและสถานีบริการน้ำมัน และเสริมด้วยนวัตกรรมเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติที่กำหนดให้สแกนบัตรประชาชน และชำระเงินออนไลน์เข้ามาช่วยกระจายและลดปัญหาความกระจุกตัวของสินค้า ทำให้รัฐบาลจีนสามารถกำหนดให้ทุกคนต้องใส่หน้ากากเวลาออกนอกบ้านได้ ซึ่งช่วยให้จีนสามารถลดโอกาสการติดเชื้อใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในช่วงล็อกดาวน์ จีนอนุญาตให้ธุรกิจที่จำเป็นเปิดให้บริการเป็นพิเศษ อาทิ บริการโทรศัพท์มือถือ เพื่อประโยชน์ในการสื่อสารและตรวจสอบสถานะความเสี่ยงของแต่ละคน ในทางกลับกัน รัฐบาลจีนยังสั่งห้ามมิให้ร้านขายยาจำหน่ายยาแก้ไข้หวัดโดยพลการ เพราะเกรงว่าคนจีนจะแห่กันไปซื้อยาเหล่านั้นมาบริโภคเพื่อซ่อนอาการป่วยจากการติดเชื้อ
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังใช้โอกาสนี้ในการนำเอาแพทย์แผนจีน และยาจีนมาช่วยในการรักษาและฟื้นฟูคนไข้และผู้หายจากการติดเชื้อในอีกทางหนึ่ง ซึ่งถือเป็นการก้าวหน้าในการผสมผสานแพทย์แผนปัจจุบันและแผนจีนในอีกระดับหนึ่ง
เมื่อสามารถเอาชนะเหนือโควิด-19 ได้ในช่วงสิ้นเดือนมีนาคม 2020 เราก็ได้เห็นการจัดกิจกรรมให้ประชาชนพร้อมใจกันออกมาร่ำลาบุคลากรทางการแพทย์ที่ถูกโยกมาจากเมืองอื่นก่อนเดินทางกลับบ้านอย่างสมเกียรติ
ภาพคนไข้ที่หายป่วยและญาติพี่น้องที่ออกมาโค้งคารวะพร้อมมอบดอกไม้ช่อใหญ่และของที่ระลึกเพื่อขอบคุณในน้ำใจของบุคลากรทางการแพทย์ที่ทุ่มเทเสียสละเพื่อชาวเมืองอู่ฮั่น และภาพการสวมกอดของบุคลากรทางการแพทย์ที่มาร่วมทุกข์ร่วมสุขและดูแลซึ่งกันและกันดั่งญาติสนิทในช่วงวิกฤติก็ทำเอาผู้ชมการถ่ายทอดสดต่างกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
โรงพยาบาลสนามที่สร้างขึ้นเฉพาะกิจในห้วงแรกของการแพร่ระบาดก็ถูกทยอยปิดตัวลงจนหมดสิ้น เหล่านี้เป็นเสมือนกิจกรรมในเชิงสัญลักษณ์ที่ประกาศชัยชนะเหนือโควิด-19 อย่างแท้จริง
โดยสรุปแล้ว หากไทยจะล็อกดาวน์แบบเข้มข้นในอนาคต แม้ว่าเราจะทราบถึงปัจจัยแห่งความสำเร็จของจีน แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่า เราจะใช้จีนเป็นกรณีศึกษาในการฝ่าวิกฤติไวรัสนี้ได้ดีมากน้อยเพียงใด
ประการแรก เราก็ไม่ควร และไม่สามารถก๊อปปี้ “อู่ฮั่นโมเดล” หรือแม้กระทั่ง “กวางตุ้งโมเดล” ได้ทั้งหมด เพราะไทยและจีนมีสภาพปัจจัยแวดล้อมและสถานการณ์ที่แตกต่างกันอยู่มาก
แต่ผมก็เชื่อมั่นว่า เราสามารถใช้โมเดลของจีนเป็นกรณีศึกษาที่ดีในการฝ่าวิกฤติไวรัสนี้ได้ในหลายส่วน และจะดียิ่งกว่าหากรัฐบาลไทยจะนำเอาบทเรียนจากการดำเนินการของจีนมาประยุกต์ใช้กับการแก้ไขปัญหาวิกฤติในครั้งนี้
ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยยังควรบูรณาการในแต่ละส่วนงานให้สอดคล้องกันในเชิงรุกอย่างจริงจัง ในห้วงวิกฤติเช่นนี้ สิ่งใดที่เป็นปัญหาเดิม ก็ควรใช้จังหวะเวลานี้แก้ไขให้ลุล่วง และป้องกันมิให้ปัญหาเหล่านั้นขยายวงกว้างขึ้น รัฐบาลต้องเด็ดขาด และเดินหน้าเต็มตัว โดยเอา “ประชาชน” เป็นที่ตั้ง
เราต้องคิดเสมอว่า ภายใต้สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยตัวแปรและความผันผวนในอนาคต เรากำลังอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” ของการ “เดินทางไกล” ที่ยากลำบาก และยังไม่อาจเห็นเส้นชัยที่อยู่อีกด้านหนึ่งของขุนเขาได้ แม้จะไม่อาจเดินไปได้เร็วนัก แต่การจับมือร่วมกันเดินไปสู่จุดหมาย จะทำให้เราเดินทางได้ไกล
เรายังควรสลัดทิ้งภาระอันหนักอึ้งที่มีอยู่เสียบ้าง เพื่อให้มีกำลังเหลือมากพอในการฟันฝ่าวิกฤติในครั้งนี้ เมื่อเดินขึ้นถึงจุดสูงสุดแล้วมองลงมาด้านล่าง เราจะเดินตามเส้นทางที่วางไว้ที่ใช้กำลังที่น้อยลง และมุ่งสู่จุดหมายได้ในที่สุด
วันนี้ เราเรียนลัดการปิดเมืองจาก “อู่ฮั่นโมเดล” และ “กวางตุ้งโมเดล” กันแล้วของจีน ก็หวังว่าเราจะไม่ต้องล็อกดาวน์ในแบบ “บางกอกโมเดล” ในอนาคต ...