TNN เมื่อ BRICS ทะยานคับฟ้า (ตอน 1) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร

TNN

คอลัมนิสต์

เมื่อ BRICS ทะยานคับฟ้า (ตอน 1) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร

เมื่อ BRICS ทะยานคับฟ้า (ตอน 1) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร

เมื่อ BRICS ทะยานคับฟ้า (ตอน 1) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน

ผมรู้สึกว่า ผมพึ่งได้รับรู้การอุบัติขึ้นของ BRICS เมื่อไม่กี่ปีก่อน และจับตามอง “ความเติบใหญ่” ของสมาชิกแต่ละรายและพัฒนาการของความร่วมมือระหว่างกันอย่างใจจดใจจ่อ นึกไม่ถึงผ่านมาไม่นาน BRICS ได้สยายปีกในเวทีเศรษฐกิจโลกได้อย่างไร้เทียมทาน ...

BRICS ก่อกำเนิดที่สำนักงานองค์การสหประชาชาติ นครนิวยอร์กเมื่อปี 2001 จากการหารือของประเทศกำลังพัฒนาที่มีเศรษฐกิจเติบโตแรงอย่างบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน 

โดยที่มาที่ไปของชื่อกลุ่มต้องยกเครดิตให้กับจิม โอนีล (Jim O’Neill) หัวหน้าเศรษฐกรแห่งโกลด์แมนแซคส์ (Goldman Sachs) วาณิชธนกิจชั้นนำของโลก ที่นำเอาตัวอักษรนำของแต่ละประเทศสมาชิกมาเรียงต่อกัน ในระยะแรก กลุ่มจึงได้ชื่อว่า “BRIC” 

นับแต่การประชุมผู้นำครั้งแรกเมื่อปี 2009 ณ เมืองเยคาเตรินเบิร์ก (Yekaterinburg) ที่ได้รับชื่อเสียงว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งศิลปะข้างถนน” ของรัสเซีย ทั่วโลกต่างก็เริ่มเหลียวตามองพัฒนาการของ BRICS อย่างใกล้ชิด

การประชุมสุดยอดในปี 2011 ที่ซานย่า เมืองตากอากาศชื่อดังแห่งมณฑลไฮ่หนานของจีน ก็เป็นอีกครั้งที่แสดงถึง “ความรุดหน้า” ครั้งใหญ่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดรับแอฟริกาใต้เข้าเป็นสมาชิกใหม่ และการเปิดโอกาสให้หลายประเทศนอกกลุ่มเข้าร่วมประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็น ทำให้ชื่อกลุ่มเปลี่ยนเป็น “BRICS” อันนำไปสู่ความคึกคักในเวลาต่อมา

BRICS ยังเต็มไปด้วยความพร้อมและศักยภาพทางเศรษฐกิจและทรัพยากร ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ กล่าวคือ สมาชิกของ BRICS ต่างติด 10 อันดับแรกของโลกในด้านพื้นที่และจำนวนประชากร โดยมีพื้นที่โดยรวมเกือบ 40 ล้านตารางกิโลเมตร หรือราว 27% ของผืนแผ่นดินโดยรวมของโลก และมีจำนวนประชากรกว่า 3,200 ล้านคน หรือกว่า 40% ของจำนวนประชากรโลก 

นอกจากนี้ สมาชิกทั้ง 5 ประเทศยังเป็นสมาชิกของกลุ่ม G20 และส่วนใหญ่ยังมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงสุดในแต่ละภูมิภาคย่อย โดยมีจีนเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของกลุ่มที่เติบโตอย่างมีเสถียรภาพในช่วงหลายทศวรรษหลัง ทำให้ขนาดเศรษฐกิจของกลุ่มขยายตัวอย่างต่อเนื่องไปด้วย

ทั้งนี้ การเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดดังกล่าวก็มีความกระจุกตัวสูง เพราะจีดีพีของจีนใหญ่กว่าของประเทศที่เหลือรวมกันกว่า 2.5 เท่าตัว แต่สมาชิกรายอื่นต่างก็พยายามเรียนลัดจากจีนและคาดหวังว่าจะสามารถพัฒนาเศรษฐกิจให้เชิดหน้าชูตาเฉกเช่นจีนได้เช่นกัน

ลองคิดดูย้อนกลับไปเมื่อปี 2010 ที่จีนก้าวแซงญี่ปุ่นขึ้นเป็นประเทศที่มีจีดีพีอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ จีนมีขนาดเศรษฐกิจเพียง 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น แล้วเป็นยังไง ผ่านมาเพียงหนึ่งทศวรรษเศษ จีดีพีของจีนทะยานขึ้นมาเฉียด 18 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ 

อินเดียอาจส่อเค้าว่าจะเจริญรอยตามจีนได้ เพราะในช่วงเวลาเดียวกัน อินเดียสามารถเบ่งเศรษฐกิจได้เกือบเท่าตัวจาก 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็น 3.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ

ขณะที่ G7 อาจเรียกว่าเป็นกลุ่มมหาอำนาจทางเศรษฐกิจชั้นนำของโลกเดิม ก่อตั้งที่กรุงวอชิงตัน สหรัฐฯ โดยมีสมาชิกที่ร่วมมือ 6 ประเทศ หรือเรียกว่า “G6” ซึ่งประกอบด้วยประเทศพัฒนาแล้วอย่างฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา 

ต่อมา สหรัฐฯ ก็ดึงเอาแคนาดาเข้ามาเป็นสมาชิกและนำไปสู่ชื่อ “G7” ขณะที่สหภาพยุโรปเข้ามามีส่วนร่วมในเวลาต่อมา แต่ไม่อยู่ในสถานะสมาชิกเต็มรูป โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายด้านความร่วมมือทางการเมือง เศรษฐกิจและการเงิน และการทหารระหว่างกันอย่างใกล้ชิด 

G7 เป็น “กลุ่มเศรษฐีเก่า” ที่รวบรวม “ความมั่งคั่ง” ไว้มากที่สุดในโลก ซึ่งสะท้อนถึงความกระจุกตัวที่สูงมากในเวทีโลก เพราะสมาชิกกลุ่มทั้ง 7 มีจำนวนประชากรรวมไม่ถึง 10% ของประชากรโลก ขณะเดียวกันก็มีการกระจุกตัวภายในกลุ่มซ่อนอยู่อีกด้วย โดยผู้นำกลุ่มอย่างสหรัฐฯ มีขนาดเศรษฐกิจเกือบเท่ากับของสมาชิกที่เหลืออีก 6 ประเทศรวมกัน

เมื่อ BRICS ทะยานคับฟ้า (ตอน 1) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร

หากหยิบเอากลุ่ม BRICS และ G7 มาเปรียบเทียบกัน ก็อาจสร้างความตื่นตะลึงได้ เพราะย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน คงไม่มีใครคิดว่า BRICS ซึ่งมีจำนวนสมาชิกที่น้อยกว่า และมีขนาดเศรษฐกิจที่เล็กกว่า จะมีขนาดเศรษฐกิจโดยรวมมากกว่า G7 ได้

อย่างไรก็ดี ตลอดหลายปีหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่โลกต้องเผชิญวิกฤติโควิดและการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาสตร์ อาทิ สงครามรัสเซีย-ยูเครน กลุ่ม BRICS ก็ยังคงเบ่งเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง และเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างไม่ลดละ และขยายต่อไปครอบคลุมคลุมร่วมมือทางการเมืองระหว่างกันมากขึ้น

ประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS ไม่เพียงไม่กระโดดร่วมแซงชั่นทางเศรษฐกิจรัสเซีย แต่ยังวางรากฐานในการเป็น “สะพานเศรษฐกิจใหญ่” ขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนอย่างไม่เคยคาดคิดมาก่อน 

นอกจากนี้ หลักการสำคัญของ BRICS ที่ยึดหลักการของผลประโยชน์ร่วมเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ยังมีบทบาทสำคัญที่ทำให้ธุรกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างสมาชิกและเครือข่ายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีจีนเป็น “พี่เบิ้ม” ในวงการการค้าภายในกลุ่ม BRICS แต่สมาชิกอื่นก็หันมาค้าขายระหว่างกันมากขึ้น

เมื่อ BRICS ทะยานคับฟ้า (ตอน 1) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร

ยกตัวอย่างเช่น จีนและอินเดียขยายการนำเข้าน้ำมันดิบราคามิตรภาพจากรัสเซีย จนทำให้รัสเซียเป็นแหล่งซัพพลายน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของจีนและอินเดียในปีที่ผ่านมา ขณะที่จีนยังนำเข้าถั่วเหลืองและสินค้าเกษตรอื่นจากบราซิลสูงเป็นประวัติการณ์ 

ขณะเดียวกัน บราซิลก็หันมาพึ่งพาปุ๋ยเคมีของรัสเซีย รวมทั้งการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรมของจีนสู่ประเทศสมาชิก

ประการสำคัญ กลุ่ม BRICS ไม่เพียง “เปลี่ยนเกมส์” หันมาเติบโตจากภายในกลุ่มเท่านั้น แต่ยังหันมาใช้เงินสกุลท้องถิ่นในการทำการค้าระหว่างกันอีกด้วย (ผมขอติดประเด็นนี้ไปเจาะลึกกันในโอกาสต่อไป)

กำลังสนุกเลย แต่วันนี้เนื้อที่ของผมซะแล้ว คราวหน้าผมจะพาไปดูพัฒนาการและสถานการณ์ของกลุ่ม G7 และเปรียบเทียบทิศทางระหว่าง 2 กลุ่มเศรษฐกิจนี้กันบ้างครับ ...

ข่าวแนะนำ