น้ำมันพุ่ง จากเหตุกบฎฮูตีถล่มโรงงานน้ำมันซาอุดี อารามโคซ้ำรอยเศรษฐกิจ วิเคราะห์โดย ฮั่วเซ่งเฮง

น้ำมันพุ่ง จากเหตุกบฎฮูตีถล่มโรงงานน้ำมันซาอุดี อารามโคซ้ำรอยเศรษฐกิจ วิเคราะห์โดย ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง

Gold Bullish

ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ
สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนที่รุนแรงมากขึ้น

Gold Bearish

ธนาคารกลางสหรัฐอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 6 ครั้งๆละ 0.25% ในช่วงที่เหลือของปีนี้
การเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนที่มีความคืบหน้ามากขึ้น
การกระจายวัคซีนโควิด-19

น้ำมันพุ่ง จากเหตุกบฎฮูตีถล่มโรงงานน้ำมันซาอุดี อารามโคซ้ำรอยเศรษฐกิจ

วิกฤติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากรัสเซียเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก คิดเป็น 11% ของการส่งออกทั่วโลก โดยสามารถผลิตน้ำมันต่อวันที่ 10.50 ล้านบาร์เรล การเกิดสงครามของรัสเซียนั้นจึงทำให้น้ำมันพุ่งขึ้นเป็นอย่างมาก ขณะที่ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานน้ำมันของบริษัทซาอุดี อารามโคในเมืองเจดดาห์ของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นโรงกลั่นขนาดใหญ่ที่สุดของซาอุดิอาระเบีย การเกิดเพลิงไหม้ดังกล่าวนั้นเกิดจากกลุ่มกบฎฮูตีในเยเมน โดยทางกลุ่มได้ยิงขีปนาวุธโจมตีคลังน้ำมันของบริษัทซาอุดี อารามโคในเมืองเจดดาห์ของซาอุดีอาระเบีย นอกจากนี้ยังได้ใช้โดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันในเมืองราส ทานูรา และเมืองราบิกห์ ซึ่งการโจมตีโรงงานน้ำมันในซาอุดีอาระเบียนั้นยิ่งเป็นการหนุนให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอีกแรง เนื่องจากซาอุดิอาระเบียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ ซึ่งข้อมูลล่าสุดนี้ซาอุดิอาระเบียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก คิดเป็น 11.54% ของการส่งออกน้ำมันทั่วโลก และยังเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ใน OPEC โดยข้อมูลส่งออกน้ำมันดิบของซาอุระเบียเฉลี่ย 10.81 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือประมาณ 12% ของผลผลิตทั่วโลก ซึ่งรองมาจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ส่งออกน้ำมันเป็นสัดส่วน 16.13% ของการส่งออกน้ำมันทั่วโลก ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงในสหรัฐ ยุโรป และหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งการพุ่งของราคาน้ำมันจะยิ่งไปซ้ำเติมให้ราคาโภคภัณฑ์ทั่วโลกปรับตัวขึ้นสูง ส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อยังคงพุ่งในระดับสูงเช่นกัน ซึ่งจะกระทบต่อการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางในแต่ละประเทศ รวมถึงการชะลอตัวของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้หากปัจจัยดังกล่าวยังส่งผลให้เงินเฟ้อทรงตัวในระดับสูง รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจก็จะเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้หนุนราคาทองคำได้เช่นกัน

ทั่วโลกยังจับตาวิกฤติรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อเข้าสู่เดือนที่ 2

ในขณะที่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนยังคงดำเนินต่อไปเข้าสู่เดือนที่ 2 แม้ว่าจะมีการเจรจาเกิดขึ้นระหว่างสองประเทศหลายครั้ง ขณะที่ก็มีการประชุมสุดยอดของ 3 กลุ่ม ซึ่งได้แก่ การประชุมนาโต, การประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำทั้ง 7 หรือ G7 และการประชุมสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเป็นการหารือตอบโต้รัสเซีย รวมถึงส่อเพิ่มมาตรการการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม และกลุ่มประเทศที่ให้ความช่วยเหลือรัสเซีย ซึ่งยังต้องติดตามเป็นลำดับต่อไปว่ารัสเซียและประเทศพันธมิตรจะมีการเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรอะไรแก่รัสเซียเพิ่มเติมหรือไม่ ขณะที่รัสเซียได้ส่อลดความรุนแรงลง โดยส่งสัญญาณลดเป้าหมายทำสงครามในยูเครน ซึ่งมุ่งไปที่ภูมิภาคดอนบาสทางตะวันออกของยูเครนที่อ้างสิทธิ์โดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่รัสเซียสนับสนุน หลังจากที่การโจมตีในภูมิภาคอื่น ๆ หยุดชะงัก ซึ่งอาจเป็นการง่ายในการอ้างชัยชนะของรัสเซียในการทำสงครามกับยูเครน การส่งสัญญาณลดเป้าหมายลงของรัสเซียอาจส่งผลให้นักลงทุนผ่อนคลายความกังวลลงชั่วคราว ทำให้อาจเกิดแรงเทขายราคาทองคำอีกครั้ง อย่างไรก็ตามสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนยังคงน่ากังวลและติดตามต่อไป และหากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อ อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกไปจนถึงปีหน้า และส่งผลต่อความผันผวนราคาทองคำเช่นกัน

ราคาทองคำในสัปดาห์นี้คาดเคลื่อนไหว Sideways ระยะสั้นราคาทองคำอาจอ่อนตัวลง จึงแนะนำว่าสามารถเข้าซื้อทองคำได้เมื่อราคาทองคำอ่อนตัวลง สำหรับประเด็นที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ สหรัฐจะเปิดเผยจ้างงานภาคเอกชนทั่วประเทศเดือนมี.ค. ของ ADP ตลาดคาดว่าจะลดลง 455,000 ตำแหน่งจาก 475,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. และการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมี.ค. ตลาดคาดว่าจะลดลง 485,000 ตำแหน่ง จาก 678,000 ตำแหน่งในดือนก.พ.

ราคาทองคำมีแนวรับอยู่ที่ 1,930 ดอลลาร์ และ 1,920 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 1,970 ดอลลาร์ และ 1,980 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองแท่งในประเทศมีแนวรับ 30,700 บาท และ 30,500 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 31,250 บาท และ 31,450 บาท