TNN สแกนมุมมองสำคัญ ทำไม? หุ้นจีนในปี 68 น่าจะดีที่สุดในโลก

TNN

รายการ TNN

สแกนมุมมองสำคัญ ทำไม? หุ้นจีนในปี 68 น่าจะดีที่สุดในโลก

KTAM ชี้หลากหลายปัจจัยชี้ หนุน“หุ้นจีน” น่าลงทุนที่สุดในจังหวะนี้ เนื่องจากมีโอกาสจะสร้างผลตอบแทนได้ดีทีสุดหากแยกนตลาดหุ้นเป็นรายประเทศ หลังแก้รัฐบาลจีนแก้ปัญหามานาน 3 ปี และภาพตลาดมีสัญญาณฟื้นตัวได้ดีขึ้นในระยะถัดไปจากระดับอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มต่ำยาวนาน

นายณัฏฐะ มหัทธนา, CFA ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM  เปิดเผยว่า สำหรับโอกาสการลงทุนในปี 2568 นี้ ให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นจีน ที่น่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีทีสุดในตลาดหลักแยกตามตลาดหุ้นรายประเทศ ซึ่งน่าจะมีความน่าสนใจตลอดทั้งปีนี้ ซึ่งมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีหลังฝานชวงเวลาที่ยากลำบากมา


แต่ถ้ายแยกรายกลุ่มอุตสาหกรรมปีนี้ให้น้ำหนักกับกลุ่มพลังงาน เน้นไปที่หุ้นพลังงานของประเทศสหรัฐฯ ตามนโยบายของรัฐบาลใหม่ ส่วนสินทรัพย์ทางเลือกยังคิดว่าบิตคอยน์และตลาดสกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) น่าสนใจ รวมถึงหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) อย่างน้อยๆ ก็ในช่วงต้นปีนี้ 


สำหรับหุ้นจีนที่มองน่าสนใจสุดในปีนี้ มีปัจจัยสนับสนุน คือ ตลาดผ่านปัญหาต่างๆ มามาก ทั้งวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ , ล็อกดาวน์ในช่วงโควิด , ความขัดแย้งกับสหรัฐฯ ซึ่งมีการแก้ปัญหามาในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา โดยนอกจากการปรับตัวลงลึกและยาวนาน (แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าหุ้นจะต้องขึ้นเสมอไป) สภาวะแวดล้อมเชิงมหภาคของจีน ณ ปัจจุบันมีส่วนคล้ายคลึงกับสหรัฐยุคหลังวิกฤตการเงินโลกปี 2008 - 2009 หรือ วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ อาทิ เงินเฟ้อและดอกเบี้ยมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องยาวนาน (lower for longer) แต่กรแก้ไขปัญหาของจีนไม่ได้ ใช้เครื่องมือการแก้ไขปัญหาทีรวดเร็วเหมือนสหรัฐฯ ที่ ใช้วิธีมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ Quantitative Easing (QE) เพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้ตลาดสหรัฐกลายเป็นตลาดกระทิงมายาวนาน 


แต่จีนใช้วิธีอนุรักษนิยมในการแก้ไขปัญหาจึงใช้เวลานานในระยะ 3-4 ปี แต่ภาพการฟื้นคล้ายๆ กัน โดยหลักการแล้วน่าจะก่อภาวะ “ฟองสบู่” ในสินทรัพย์บางประเภท แต่ในกรณีของจีนรอบนี้มันคงไม่ใช่การเกิดในภาคอสังหาฯ หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ แต่ก็น่าจะเกิดใน “ตลาดหุ้น” และ “ตลาดบอนด์” โดยฟองสบู่ช่วงเริ่มต้นไม่ได้น่ากลัว เพราะยังไม่แตก สะท้อนจากทิศทางดอกเบี้ยจีนมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำยาวนาน 


ซึ่งพัฒนาการสำคัญเมื่เดือนธ.ค.ปี 2567 ที่ผ่านมา ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีน (Bond Yield) หลุดระดับร้อยละ 2 ลงมา ซึ่งยังปรับลดลงต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ประมาณร้อยละ 1.6  และไม่แน่ว่าจะปรับลดลงไปทำจุดตํ่าสุดใหม่ (New Low) หรือไม่ แม้ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาหุ้นจีนจะปรับตัวลดลง ก็น่าจะเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยอื่่น เพราะถ้าเกิดจากปัญหาเศรษฐกิจถดถอยหรือภาวะเงินฝืด หุ้นจีนน่าจะปรับลงย่ำแย่กว่านี้แล้ว นอกจากนี้ หุ้นจีนยังปรับขึ้นได้ในบางวัน แม้ Bond Yield จะต่ำและแก้ไขปัญหาในภาคอสังหาฯ ยังไม่เบ็ดเสร็จก็ตาม 


ดังนั้น จึงคาดการณ์ว่าในอนาคตน่าจะได้เห็น “หุ้นนางฟ้าจีน” ซึ่งเติบโตดีหนุน market cap ใหญ่พอ นำพาตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหลายปี ดังเช่นสหรัฐในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จากระดับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ที่จำเป็นสำหรับภาคอสังหาฯซึ่งค่อยๆ ฟื้น แต่มันต่ำเกินไปและไม่จำเป็นเลยสำหรับบริษัทคุณภาพดีที่แข็งแรงเติบโตได้อยู่แล้ว Quality & Growth Companies เหล่านั้น ดอกเบี้ยต่ำจึงเปรียบเสมือนได้ “สเตียรอยด์” ช่วยกระตุ้นการเติบโตของผลประกอบการรวมถึงราคาหุ้นจีน ดังนั้น คนที่ยังไมมีหุ้นจีนสามารถเริ่มสะสมได้หรือคนที่ติดและมีหุ้นอยู่แล้วก็สามารถทยอยซื้อเพิ่มเพือเฉลี่ยต้นทุนได้ เพราะอาจเป็นโอกาสให้ฟื้นตัวได้ครั้งใหญ่ก็เป็นได้ 


ส่วนที่ มองกลุ่มหุ้นอุตสาหกรรมพลังงานของสหรัฐฯ น่าสนใจนั้น เพราะมองว่า การที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐได้เลือก นายคริส ไรท์ ซีอีโอของบริษัท ลิเบอร์ตี เอ็นเนอร์จี ผู้ให้บริการด้านบ่อน้ำมันเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานในรัฐบาลชุดใหม่นั้น เชื่อว่าจะมีการผ่อนคลายกฎระเบียนและมีนโยบายการสนับสนุนพลังงานฟอสซิลมากขึ้นควบคู่กับการใช้พลังงานใหม่ ซึ่งประเด็นนี้ตลาดยังไม่ได้รับรู้ไปในราคาหุ้นในปัจจุบัน   (Price In) บวกกับราคาพลังงานกำลังหาจุดสมดุลใหม่ ซึ่งมีโอกาสปรับขึ้นไปที่ระดับประมาณ 85 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือมากกว่านี้ ซึ่งจะหนุนหุ้นกลุมพลังงานสหรัฐได้อีก  

 

ด้านสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง คริปโทเคอร์เรนซี  หลังผ่านช่วงเวลาการปรับฐานในปลายปี 2567 มาในต้นปี 2568 นี้ จากความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยไม่ได้ แต่เวลาผานไปหากตั้วเลขเงินเฟ้อ (CPI) ผ่อนคลายลง น่าจะเห็นการปรีบลดดอกเบี้ยของเฟดได้อย่างน้อย 1 ครั้งในปี 2568 นี้ บวกภาพเศรษฐกิจที่ยังดีแลสภาพคล่องทีกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ ก็มีส่วนช่วยหนุนให้ คริปโทเคอร์เรนซีปรับขึ้นได้ โดยบิตคอยน์เริ่มเห็นการขึ้นมาทดสอบระดับ 97,000 ดอลลาร์ วันนี้ (15 ม.ค.) จากที่เคยลงไปตำกว่า 90,000 ดอลลาร์ จึงเชือว่าน่าจะหนุนบิตคอยน์และหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชนปรับขึ้นได้อีกในปี 2568 นี้เป็นปีที่ 3 

 

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง