ปัจจัยลบรุมเร้า โบรกฯ หั่นเป้าดัชนีหุ้นไทยปี 68 ลงเหลือ 1,530 จุด
ล่าสุด หลักทรัพย์ CGSI หั่นเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2568 'เหลือ 1,530 จุด สอดคล้องกับบริษัทหลักทรัพย์ฯ อืนที่ปรับลดเป้าดัชนีเชนกัน จากปัจจัยลบทั้งในและต่างประเทศที่รุมเร้าตลาดในระยะต้นปีนี้ นักลงทุนลุ้นมาตรการ Easy E-Receipt ที่จะเริ่ม 16 ม.ค. นี้ หนุนตลาดหุ้นไทย
ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ปัจจัยลบที่รุมเร้าทั้งจากในและนอกประเทศ ประกอบด้วย นโยบายการค้าของรัฐบาลใหม่สหรัฐ // การขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) // ความเสี่ยงด้านการกำกับดูแล // และเศรษฐกิจไทยที่ยังอ่อนแอ จึงปรับลดเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยในสิ้นปีนี้ลงมาที่ 1,530 จุด จากเดิมที่คาดไว้ที่ 1,630 จุด ซึ่งจะเท่ากับ P/E 15.3 เท่าในปี 69 หรือ -1.25SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี
กรณีที่อดีตนายกรัฐมนตรี คุณทักษิณ ชินวัตร ระบุว่ารัฐบาลมีแผนจะลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาท/หน่วยนั้น ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่า จะมีการลดค่าไฟฟ้าได้เมื่อใด CGSI จึงมองว่า ประเด็นดังกล่าวทำให้บริษัทในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภคมีความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลสูงขึ้น ซึ่งสองกลุ่มนี้รวมกันคิดเป็นร้อยละ 18 ของมูลค่าตามราคาตลาด (market cap) ของตลาดหุ้นไทย ณ วันที่ 7 ม.ค.68 เท่ากับว่า ปัจจัยเสี่ยงจากการกำกับดูแลนี้อาจกระทบ sentiment ของกลุ่มและตลาด แม้เชื่อว่ารัฐบาลน่าจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการลดค่าไฟฟ้า
พร้อมคาดว่ากลุ่มธนาคารจะประกาศผลประกอบการงวดปี 67 ภายในวันที่ 21 ม.ค.68 ส่วนกลุ่มอื่นจะทยอยประกาศผลประกอบการจนถึงวันที่ 28 ก.พ.68 โดย Bloomberg consensus คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ของธนาคารใหญ่ 5 แห่งจะเติบโต ร้อยละ 3 เทียบปีก่อน (yoy) แต่ลดลงร้อยละ 19 เทียบไตรมาสก่อน (qoq ) ซึ่งผลประกอบการที่อ่อนตัว รวมถึงการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อาจฉุด sentiment การลงทุนในกลุ่มธนาคาร
ทั้งนี้ ประเมินกำไรสุทธิในไตรมาส 4/67 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 44 yoy และร้อยละ 39 qoq โดยกลุ่มที่เชื่อว่าน่าจะมีกำไรในไตรมาส 4 เติบโตแข็งแกร่ง yoy คือ กลุ่มขนส่ง, กลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มอาหาร จากฐานที่ต่ำในไตรมาส 4/66 // ส่วนกลุ่มที่กำไรสุทธิน่าอ่อนตัว yoy คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, กลุ่มเกษตร และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
อย่างไรก๊ดี มองว่าตัวเลือกที่ดีในสถานการณ์นี้ คือ หุ้นในกลุ่มปลอดภัยที่น่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐและมีความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลน้อยกว่า ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค, กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มการแพทย์, กลุ่มธนาคาร และกลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค โดยมีหุ้น Top pick คือ AMATA, BCH, BH, CBG, CPN, CRC, MTC และ SCB
ขณะเดียวกันก็มองว่าตลาดหุ้นไทยจะมี downside risk หากรัฐบาลทรัมป์ปรับขึ้นภาษีนำเข้า// รัฐบาลไทยขอให้ภาคเอกชนสนับสนุนมาตรการลดค่าไฟฟ้า //และบริษัทจดทะเบียนมีผลประกอบการอ่อนตัวในไตรมาส 4/67 โดยหุ้นไทยจะมี upside risk หากมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาและรัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่
ด้านหลักทรัพย์ ธนชาต ประเมินว่า ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ ขณะที่ไทยยังคงอยู่ในเส้นทางการฟื้นตัวจากฐานที่ตํ่า จึงยังคงดัชนีหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,580 จุด โดยมองปัจจัยผลักดันอัพไซต์หุ้นไทยจะมาจาก การปลดล็อคนโยบายการคลัง การท่องเที่ยวที่ยังคงแข็งแกร่ง การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย บวกกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งจึงจะช่วยการส่งออกของไทย มองหุ้น Top Picks ได้แก่ AMATA, BH, CBG, CENTEL, COM7, CPALL, MINT, MTC, WHA และ TRUE
ส่วนหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า Upside ของ SET Index จะได้รับแรงหนุนจากกำไรที่เติบโตเพิ่มขึ้นจากการบริโภคภายในประเทศและการลงทุนภาคเอกชน ในด้านบวกคาดว่ากำไรปี 2568 จะเติบโต ร้อยละ 22 จากปีก่อน ให้เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,550 จุด โดยเชื่ออว่าการกระจายพอร์ตลงทุนในหลากหลายธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวจะช่วยให้นักลงทุนสามารถ Outperform ตลาด โดยแนะนำ 4 ธีมการลงทุน คือ ธีม Value Stock เน้นหุ้นมูลค่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ปลอดภัย และมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง แนะนำ AOT, BBL, CPALL // ธีม Dividend Stock เน้นหุ้นปันผลสูงเพื่อสร้างกระแสเงินให้พอร์ตลงทุน แนะนำ AP, BCP, LHHOTEL // ธีม Laggard Stock เน้นหุ้นที่ราคาปรับขึ้นช้า แต่ผลประกอบการปี 2568 เริ่มส่งสัญญาณบวก แนะนำ BCH, GPSC HMPRO // และ ธีม Mid-Small Cap Growth เน้นหุ้นที่กำไรจะเติบโตดี และมี Upside Risk แนะนำ AMATA, AU, INSET
อย่างไรก็ดี พรุ่งนี้ (16 ม.ค.) มาตรการ Easy E-Receipt จะเริ่มบังคับใช้เป็นวันแรก ซึ่งมีเงื่อนไขการลดหย่อนภาษี แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. ลดหย่อนไม่เกิน 30,000 บาท เมื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือจากร้านค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เฉพาะสินค้าและบริการ หนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต // 2. ลดหย่อนไม่เกิน 20,000 บาท ซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว แต่ยกเว้นสำหรับค่าซื้อสุรา เบียร์ และไวน์ ค่าซื้อยาสูบ ค่าซื้อน้ำมัน ค่าซื้อก๊าซ ค่าที่พักในโรงแรม
โดย หลักทรัพย์หยวนต้าประเทศไทย ประเมินว่า การที่ ครม.เห็นชอบปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และมีมาตรการ Easy E-Receipt ให้ลดหย่อนสินค้า 50,000 บาท แบ่งเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค 30,000 บาท และสินค้า SMEsและ OTOP 20,000 บาท ระหว่าง 15 ม.ค. - 28 ก.พ. 2568 รวมถึงการแจกเงินหมื่นเฟส 2 ให้กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะเป็นปัจจัยบวกต่อ Domestic Play เช่น CPALL, CPAXT, HMPRO, SYNEX, OSP, CBG, SAWAD เป็นต้น
ข่าวแนะนำ