TNN ชี้ปี 68 น้ำหนักลงทุนมุ่งที่สหรัฐ หุ้นกลาง-เล็กเด่น รับนโยบายทรัมป์กระตุ้น

TNN

รายการ TNN

ชี้ปี 68 น้ำหนักลงทุนมุ่งที่สหรัฐ หุ้นกลาง-เล็กเด่น รับนโยบายทรัมป์กระตุ้น

MFC มองโอกาสการลงทุนปี 2568 ยังให้น้ำหนักในตลาดหุ้นต่างประเทศ เน้นตลาดหุ้นสหรัฐในกลุ่มไฟแนนซ์ อุตสาหกรรม และเทคโนโลยีในหุ้นขนาดกลางและเล็ก รวมทั้งหุ้นญี่ปุ่น จีน และอินเดีย ส่วนหุ้นไทยเน้นหุ้นใหญ่ที่ปันผลสูงใน SET50 โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม ICT ที่คาดจะถูกกระทบจากเศรษฐกิจโลกน้อย

นางสาววจี  คล้ายยวง ผู้อำนวยการ ทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ  MFC เปิดเผยว่า โอกาสการลงทุนที่มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในปี 2568 ยังมองไปที่ตลาดหุ้นในต่างประเทศ โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐฯ เพราะหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ยังปรับขึ้นต่อเนื่อง เพียงแต่ในช่วงก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง 1 เดือนอาจเห็นตลาดหุ้นปรับฐาน จากที่ปรับฐานไปบ้างแล้ว ขณะที่หุ้นกลุ่ม Magnificent 7  หรือ หุ้นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ปรับขึ้นมาแรง และหุ้นบางหมวดก็ปรับลงแรง 


อย่างไรก็ดี หุ้นสหรัฐฯ ค่อนข้างแพง แต่หากเปรียบเทียบกับช่วงฟองสบู่ในปี ค.ศ. 2021 ราคาหุ้นสหรัฐฯ ยังห่างไกลจากคำว่า "การเก็งกำไรอย่างไร้เหตุผล" ทำให้เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯและตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับขึ้นต่อ เพียงแต่ก็มีบางหมวดที่ควรหลีกเลี่ยง อาทิ กลุ่มเฮลธ์แคร์ เพราะหากไปดูสัญญาณทางเทคนิคหุ้นกลุ่มนี้มีสัญญาณเป็นขาลง บวกกับหากเศรษฐกิจสหรัฐดีต่อเนื่องความน่าสนใจของหุ้นในกลุ่มปลอดภัยอย่างเฮลธ์แคร์จะน่าสนใจน้อยลง ซึ่งหลังชัยชนะของทรัมป์หุ้นกลุ่มนี้ก็ปรับตัวลงแรงด้วย เป็นต้น 


สำหรับหุ้นสหรัฐฯ ในกลุมที่มีความน่าสนใจลงทุนจะมองไปที่หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ และกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปรับขึ้นได้ดีในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวได้ดี รวมไปถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งที่ผ่านมาหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ปรับขึ้นสูงทำให้ในระยะต่อไปแม้จะปรับขึ้นอยู่แต่คงฟื้นไมได้สูงเหมือนที่ผ่านม ทำให้อัตราผลตอบแทนอาจไม่ถึงสองหลักเช่นในอดีตอาจเติบโตแค่หลักเดียวและระหว่างทางอาจเห็นการพักฐานด้วย ส่วนหุ้นเทคฯ ขนาดกลางและขนาดเล็กคาดว่าจะมีศักยภาพปรับตัวขึ้นได้ต่อในอัตราการเติบโตที่่สูงกว่าหุนเทคฯ ขนาดใหญ่ ทำให้หุ้นขนาดเล็กมีความน่าสนใจมากกว่า ซึ่งเริ่มเห็นการปรับประมาณการกำไรของหุ้นใน Russell 2000 ขึ้นด้วย เพียงแต่อาจจะต้องระวังความผันผวนของหุ้นเล็กด้วย โดยมองโอกาสการเข้าลงทุนหากดัชนีตลาดหุ้น  S&P 500 อยู่ระดับ 5,600 -5,900 จุด เป็นระดับที่น่าสนใจ ที่สามารถทยอยเข้าลงทุนได้ 


และนอกเหนือจากตลาดหุ้นสหรัฐ มองว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นถือว่าน่าสนใจที่จะกระจายการลงทุน เนื่องจากมีโอกาสไซต์วย์ปรับขึ้นได้ และเริ่มมีปัจจัยบวก อาทิ ราคาหุ้นไม่แพง และหากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดดอกเบี้ยได้น้อยครั้งกว่าที่ตลาดคาด ก็จะส่งผลให้เงินเยนอ่อนค่าลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อหุ้นส่งออกของญี่ปุ่น ซึ่งราคาหุ้นเริ่มปรับฐานลงมาบ้างแล้ว ขณะที่การเมืองญี่ปุ่นก็มีเสถียรภาพ และญี่ปุ่นยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐฯ ทำให้ประเด็นเรื่องกำแพงภาษีนาจะมีแรงกดดันน้อยกว่าประเทศอืนๆ ได้ 


และตลาดหุ้นในฝั่ง Emerging Market : EM หรือ ตลาดประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ที่น่าสนใจลงทุนมองว่าตลาดหุ้นจีนในกลุ่มหุ้นที่อิงเศรษฐกิจภายในของจีนก็ยังมีโอกาสเติบโตได้ ทำให้น่าสนใจลงทุนและราคาหุ้นที่ปรับลงมาในระดับปัจจุบันน่าจะรับอยู่ บวกกับรัฐบาลจีนก็เน้นประคับประคองเศรษฐกิจ น่าจะมีมาตรการกระตุ้นออกมา โดยมองไปที่่หุ้น A-Shares (ดัชนีหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่) ที่จะได้ประโยชน์จากการกระตุ้นการบริโภคภายในจีน  รวมทั้งตลาดหุ้นอินเดียที่ยังมีแนวโน้มเติบโตตามภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวในระดับที่ดี


ขณะที่ ตลาดหุ้นไทยมองว่ายังผันผวนและอาจถูกกระทบจากนโยบายสหรัฐฯ แต่ยังสามารถลงทุนในหุ้นปันผลสูงได้ เพราะไตรมาสแรกปี 2568 หุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 น่าจะมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นโดยรวม (Outperform Market) เน้น กลุ่ม  ICT หรือ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่น่าจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกน้อย เพราะเน้นการบริโภคในประเทศ 

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง