TOP เล็งเพิ่มเงินลงทุนโครงการ CFP วงเงิน 6.3 หมื่นล้าน
บมจ.ไทยออยล์ มีมติอนุมัติให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อขออนุมัติการเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ Clean Fuel Project หรือ CFP วงเงินลงทุน 63,028 ล้านบาท โบรกฯ มองเชิงลบ เนื่องจากวงเงินลงทุนเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง ฉุดราคาหุ้นร่วงร้อยละ 22.14
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ บมจ. ไทยออยล์ หรือ TOP ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ถึงผลการประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ที่ผ่านมาว่า บริษัทมีมติอนุมัติให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อขออนุมัติการเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ Clean Fuel Project หรือ CFP จำนวนประมาณ 63,028 ล้านบาท (หรือประมาณ 1,776 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 17,922 ล้านบาท (หรือประมาณ 505 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
โดยเงินลงทุนเพิ่มเติมดังกล่าวจะนำไปใช้เพื่อการก่อสร้างโครงการ,การจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ส่วนที่เหลือ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการ เช่น ค่าที่ปรึกษาต่างๆ เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จ โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากการออกตราสารหนี้และเงินกู้ยืม ,การบริหารสภาพคล่อง และกระแสเงินสดจากการดำนเนินงาน
ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์ว่าการก่อสร้างของหน่วยผลิตต่างๆ จะแล้วเสร็จ (และพร้อมทดลองเดินเครื่องจักร) ในช่วงไตรมาส 2 /2027 ถึง ไตรมาส 3 /2028 และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาส 3/2028
หลักทรัพย์บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า จากการประเมินเบื้องต้น การลงทุนเพิ่มเติมและความล่าช้าของโครงการดังกล่าว (ล่าช้าออกไปจากสมมติฐานปัจจุบันของเราที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2026 หรือ ปี พ.ศ.2569 ) คาดว่าจะคิดเป็น downside risk ต่อประมาณการกำไรปี 2568 ราวร้อยละ 2 และเป็น downside risk ต่อประมาณการกำไรปี 2569 -2571 ราวร้อยละ 24 โดยเฉลี่ยและคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน ( net debt to equity) จะเพิ่มขึ้นจากระดับประมาณ 0.4 เท่า เป็น 0.6 เท่า
โดยบริษัทมีกำหนดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 21 ก.พ. ปีหน้า (XM 3 ม.ค. 2568) ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-EGM)
นายบัณฑิต กล่าวว่า โครงการ CFP จะทำให้ไทยออยล์มีกำลังการกลั่นน้ำมันดิบ 400,000 บาร์เรลต่อวัน และสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นโครงการขนาดใหญ่ปัจจุบันดำเนินการไปแล้วกว่าร้อยละ 90 เมื่อโครงการสำเร็จจะสามารถตอบโจทย์การเติบโตทางกลยุทธ์ในระยะยาว ทำให้บริษัทฯเติบโตได้อย่างยั่งยืนโดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) ทำให้ไทยออยล์สามารถแข่งขันได้ และเป็นผู้นำในภูมิภาคซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดผลตอบแทนที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นและบริษัทฯ ในระยะยาว หากโครงการเดินหน้าต่อจะทำให้ซัพพลายเชน รวมถึงบริษัทรับเหมาก่อสร้างและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมีงานทำมีรายได้มาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่งด้วย
และจากประเด็นข้างต้น หลักทรัพย์บัวหลวง ประเมินข่าวดังกล่าวน่าจะเป็น negative sentiment ต่อราคาหุ้น นอกจากนั้น downside risk ต่อประมาณการกำไรน่าจะเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นต่อไป จึงคงคำแนะนำขาย
สอดคล้องกับมุมมองของ หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) ที่ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ประเด็นการลงทุนดังกล่าวมองเป็นเชิงลบ เนื่องจากจำนวนเงินที่ต้องลงทุนเพิ่มค่อนข้างมาก ทำให้โดยรวมเงินลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 40-50
สำหรับโครงการ CFP ของ TOP เริ่มได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2561ให้เข้าลงทุนในโครงการ ฯ มีมูลค่าการลงทุนราว 4,825 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ราว 160,279 ล้านบาท และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 151 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ราว 5,016 ล้านบาท โดยคาดว่าการก่อสร้างโครงการ CFP จะแล้วเสร็จในไตรมาส 1 ปี 2566 และติดปัญหาโควิดและเลื่อนมากระทั่งปัจจุบัน
ล่าสุดราคาหุ้น TOP ปิดที่ 27.25 บาท/หุ้น ปรับลดลง 7.75 บาท หรือคิดเป็นการลดลงร้อยละ 22.14
ข่าวแนะนำ