ปรับพอร์ตตั้งรับดอกเบี้ยขาลง การเมืองเปลี่ยน ลงทุน
จิตตะ เวลธ์ แนะปรับพอร์ตตั้งรับดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในขาลงและการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพ.ย.ปีนี้
นายประภัศร์พงษ์ นันทกิจพัฒนา ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด เปิดเผยว่า การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 18 ก.ย.นี้ ถือว่ามีความสำคัญมากต่อทิศทางตลาดทุน ประเด็นสำคัญคือเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาระดับเท่าไร ซึ่งจากตัวเลขข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่ประกาศออกมาแล้ว ทั้งข้อมูลเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงมา และตลาดแรงงานที่อ่อนแอกว่าคาด ส่งผลให้การคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยรอบนี้ จากเดิมที่คาดว่าจะลดลงร้อยละ 0.25 และร้อยละ 0.5 ออกมาในสัดส่วนที่เท่ากัน แต่ล่าสุดเช้าวันนี้ FedWatch Tool ของ CME Group กลับมาเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 70
โดย จิตตะ เวลธ์ มองว่า ผลของการลดดอกเบี้ยของเฟดในอัตราที่แตกต่างกันจะส่งผลต่อตลาดที่แตกต่างกัน หากลดร้อยละ 0.2 จะสะท้อนภาวะเศรษฐกิจสหรับที่ค่อยๆ ชะลตัวลง (Soft Landing) ซึ่งน่าจะเป็นกลาง (Neutral) ต่อตลาดหุ้นสหรัฐ แต่หากลดร้อยละ 0.5 9ตลาดหุ้นสหรัฐอาจมีการปรับฐานได้ เพราะตลาดจะกลับมากังวลว่าเศรษฐกิจอาจกลับเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Economic Recession) ได้
แต่สิ่งที่มองว่าจะเหมือนกันคือในการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ คือ จะส่งผลดีต่อตลาดตราสารหนี้ (บอนด์)และตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งข้อมูลจากบลูมเบิร์กในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาพบว่าเงินทุนไหลเข้าตลาดบอนด์เป็นบวกทั้งภูมิภาคเอเชียใต้ โดยเฉพาะอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย
ส่วนการเลือกตั้งสหรัฐในเดือนก.ย.นี้ ไม่ว่าใครจะมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐก็จะส่งผลต่อทิศทางเงินลงทุนต่างชา หรือ ฟันด์โฟลว์ แน่นอน ซึ่งมองว่ามี 4 ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ
1) ภาษีนิติบุคคล ถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งจะลดภาษีนิติบุคคลในสหรัฐมากขึ้น จะหนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ จึงเป้นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นสหรับมากกว่า นโยบายของ คามาลา แฮร์ริส ที่จะขึ้นภาษีส่วนนี้
2) การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate change) ถ้า แฮร์ริส ชนะก็จะเป็นบวกต่อกลุ่มพลังงานสะอาด
แต่ถ้าทรมป์ ชนะจะเป็นบวกต่อกลุ่มพลังงานพลังงานฟอสซิล (เชื้อเพลิงที่เป็นถ่านหิน, น้ำมัน, และก๊าซธรรมชาติ)
3) การดำเนนนโยบายเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าการเพิ่มกำลังหรือถอนกำลังในภูมิภาคตะวันออกกลางก็จะส่งผลต่อตลาดทุน ถ้าประธานาธิบดีคนใหม่ไม่หนุนความขัดแย้งและลดความร้อนแรงได้ก็จะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
และ 4) ภาษีศุลกากร จะเป็นประเด็นสำหรับนโยบายที่จะเกิดผลได้เร็วที่สุด เพราะไม่ต้องผ่านรัฐสภาสหรัฐ หรือ สภาคองเกรส สามารถส่งตรงจากประธานาธิบดีสหรัฐได้เลย ถ้ามีการตั้งกำแพงภาษีจะกระทบกับการค้าและการลงทุนทั่วโลก และกระทบต่อความต้องการซื้อในประเทศด้วย เพราะต้นทุนจะสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเงินเฟ้อและอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐกลับมาใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดได้
สำหรับคำจิตตะ เวลธ์ ในระหว่างที่ยังรอผลการเลือกตั้งนี้มองว่า ความผันผวนยังสูงขึ้น และถ้าความขัดแย้งไม่เร่งขึ้นมาจนกระทบเงินเฟ้อให้สูงขึ้น มาว่าดอกเบี้ยจะเป็นขาลงชัดเจน จึงแนะนำให้พอร์ตหลัก (Core) ในสัดส่วนร้อยละ 70 กระจายลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ โดยสามารถกระจายการลงทุนไปในดัชนีหุ้นทั่วโลก และการลงทุนในพันธบัตรระยะยาวยังได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง ซึ่งกลยุทธ์สามารถลงทุนแบบ DCA หรือ การแบ่งลงทุนแบบสม่ำเสมอ ส่วนพอร์ตเสริม (Satellite) อีกร้อยละ 30 สามารถลงทุนในหุ้นเติบโต (Growth) ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น โดยร้อยละ 15 ลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐ และอีกร้อยละ 10 ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีจีน ส่วนอีกร้อยละ 5 ลงทุนในหุ้นเวียดนาม ซึ่งสามารถทยอยสะสมในช่วงที่ตลาดปรับฐานระยะสั้นได้
ข่าวแนะนำ