จ้างงานสหรัฐ ดีเบตทรัมป์ & แฮร์ริส ชี้ชะตาราคาทองคำ

นายวรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทวายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด (YLG) เปิดเผยว่า ราคาทองคำช่วงนี้แกว่งตัวในกรอบ ทรงตัวในระดับสูง โดยปัจจัยสำคัญที่จะบ่งชี้ทิศทางราคาทองคำจากนี้ว่าจะขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 2 ประเด็นหลัก คือ 

1) ข้อมูลเศรษฐกิจ คือ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ จะรายงานในวันนี้ (6 ก.ย.) เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย หากออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะประชุมในกลางเดือนก.ย.นี้อาจปรับลดลงที่ระดับร้อยละ 0.50 ซึ่งจะหนุนราคาทองคำให้ปรับขึ้นได้ แต่หากข้อมูลออกมาดีดอกเบี้ยอาจลดลงเพียงร้อยละ 0.25 ทองคำอาจถูกขายทำกำไรออกมาและราคาอ่อนตัวลงได้เช่นกัน 

และ 2.) การประชันวิสัยทัศน์ครั้งแรก (ดีเบต) ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน และ นางกมลา แฮร์ริส ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต ซึ่งหากคะแนนนิยมทรัมป์มาและได้รับการเลือกเป็นประธานาธิบดีจะดีต่อทิศทางราคาทองคำมากกว่าการที่แฮร์ริสได้ 

สำหรับทิศทางราคาทองคำหลังจากนี้ คาดว่าจะแกว่งในกรอบ หากข่าวทั้ง 2 เรื่องนี้ออกมาเป้นบวกราคาทองคำน่าจะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง (All Time High) ที่ 2,532 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งทดสอบระดับนี้มา 2 สัปดาห์กว่าแล้วแต่ยังไม่ผ่านอาจปรับขึ้นไปต่อได้ แต่หากข่าวออกมาในทิศางลบทองคำอาจย่อลงมาที่แนวรับที่ระดับ 2,470 -2,450 ดอลลาร์/ออนซ์ จากปัจจุบันราคาทองคำในตลาดโลกเคลื่อนไหวที่ระดับ 2,515 ดอลลาร์/ออนซ์ ดังนั้น กลยุทธ์ช่วงนี้หากกังวลความเสี่ยงจากปัจจัยเหล่านี้และราคาไม่ผ่าน 2,500 ดอลลาร์/ออนซ์  ควรแบ่งขายทำกำไรออกมาก่อน และรอเข้าซื้อที่ระดับแนวรับ เพื่อลดความเสี่ยงและทำกำไรระยะสั้นก่อน เพราะ 2 ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยที่คาดการณ์ยาก 

ส่วนทองคำในประเทศปรับลดลงต่อเนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่ามากขึ้น  ดังนั้น คนที่ลงทุนในประเทศควรรอราคาลดลงมาก่อน และค่อยซื้อตามกรอบแนวรับ เน้นเล่นสั้นตามรอบ เพราะทองไทย 42,500 บาทต่อบาททองคำ ให้แบ่งขายก่อน และรอเข้าซื้อที่ระดับแนวรับ 39,500 - 38,500 บาทต่อบาททองคำ