TNN แนะกลยุทธ์ลงทุนตั้งรับหนี้เสียพุ่ง ดอกเบี้ยจ่อปรับลด

TNN

รายการ TNN

แนะกลยุทธ์ลงทุนตั้งรับหนี้เสียพุ่ง ดอกเบี้ยจ่อปรับลด

แนะกลยุทธ์ลงทุนตั้งรับหนี้เสียพุ่ง ดอกเบี้ยจ่อปรับลด

TTB เผยสินเชื่อรายย่อยโตต่ำเป้า จากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าส่งผลต่อยอดอนุมัติสินเชื่อ โดยหนี้เสียจากรถยนต์น่ากังวล อย่างไรก็ดี กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยลงในปีนี้ หลังเฟดเตรียมปรับลดตั้งแต่ก.ย.นี้

นายฐากร ปิยะพันธ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ TTB กล่าวว่า ภาพรวมสินเชื่อรายย่อยในปีนี้คาดว่าจะเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์และที่อยู่อาศัยคาดว่าจะหดตัวติดลบ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากยอดขายรถยนต์ที่ปรับลดลง และยอดจดจำนองที่อยู่อาศัยที่ลดลง 


ขณะที่การปล่อยสินเชื่อหรือการอนุมัติสินเชื่อตึงตัวมากขึ้น เป็นผลจากลูกค้ามีภาระหนี้ต่อรายได้ไม่เพียงพอ เช่นเดียวกับสินเชื่อบ้านในกลุ่มลูกค้ารายได้ 30,000-50,000 บาท ก็เริ่มเปราะบางมากขึ้น ชำระหนี้ไม่ไหว ภาพดังกล่าว ส่งผลต่อแนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL มีทิศทางขยับขึ้น ทั้งนี้ กลุ่มสินเชื่อรถยนต์ยังน่าห่วง เพราะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ธนาคารเร่งปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อช่วยพยุงไม่ให้เป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้น 


ภาพดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลล่าสุด ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เปิดเผยหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาส 4/66 อยู่ที่ร้อยละ 91.3 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า โดยหนี้เสียธนาคารพาณิชย์ มีมูลค่า 1.58 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.88 ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.79 ในไตรมาสก่อน  โดยคุณภาพสินเชื่อด้อยลงในทุกประเภท


คุณเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเชีย พลัส ประเมินว่า เรื่องเสถียรภาพการเงินยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ กนง. ให้น้ำหนักต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้หากส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมในระยะถัดไป อย่างไรก็ดี คาดว่ากนง.มีโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ หลังเฟดมีโอกาสจะปรับลดดอกเบี้ยราวร้อยละ 0.75-1.00 และเริ่มลดในก.ย.ปีนี้ เพราะถ้าเราไม่ลดดอกเบี้ยอาจเสียโอกาสของประเทศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากการส่งออก เนื่องจากหากเฟดดอกเบี้ยดอลลาร์จะอ่อนบาทจะแข็งค่าขึ้น 


ส่วนกลยุทธ์การลงทุนหลังเฟดลดดอกเบี้ยน่าจะเห็นเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาในภูมิภาคมากขึ้น และไทยยังน่าสนใจจากสัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัว การเมืองนิ่ง และกำไรบริษัทจดทะเบียนในครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก จาก 3 ปัจจัย คือ ค่าเงินที่แข็งค่าขึ้น แวร์ลูเอชันต่างจากประเทศอื่น และต่างชาติลดการลงทุนไปมาก จึงมีโอกาสกลับมาซื้อสนับการฟื้นตัวระยะสั้นที่ราว 1,400 จุด เน้นสะสมหุ้นใหญ่ที่ได้ประโยชน์จากโฟลว์ Thai ESG และกองทุนรวมวายุภักษ์ อาทิ KBANK ,CPALL ,GULF, KTB ,BEM,BANPU เป็นต้น 

ข่าวแนะนำ