แนะเริ่มลงทุนหุ้นไทย กระจายความเสี่ยงในสหรัฐ-เอเชียต่อ
บลจ.เอ็กซ์สปริงแนะนำกระจายลงทุนทั่วโลก เว้นตลาดหุ้นจีนที่ยังต้องรอดูความชัดเจน และควรเริ่มแบ่งกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ตามสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นด้วย
นายยศกร ฟอลเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด เปิดผยว่า ประเด็นที่น่าจะต้องติดตามสำหรับทิศทางการลงทุนช่วงนี้ คือ ผลประกอบการในไตรมาส 2 ที่บริษัท Nvidia ผู้ผลิตชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) รายใหญ่ที่สุดของโลกจะประกาศผลประกอบการที่คาดว่าจะดีขึ้นกว่าที่คาดบ้าง อยู่ในทิศทางที่ค่อนข้างบวก แต่ตลาดหุ้นสหรัฐก็ปรับขึ้นมาค่อนข้างแรง และรายงานของแบงค์ออฟอเมริกา (BofA) ที่พบว่ามีลูกค้าของบริษัททยอยขายหุ้นรายตัวออกมาในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่าน
ส่วนในตลาดยุโรป มองว่าแวร์ลูเอชั่น และ P/E ยังถูก บวกกับธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็ทยอยปรับลดดอกเบี้ยไปก่อนแล้ว เป็นการดำเนินการก่อนคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) แล้ว ทำให้ดูภาพรวมแล้วตลาดหุ้นยุโรปก็ยังน่าสนใจอยู่
ถัดมาตลาดหุ้นเอเชียมองว่าตลาดหุ้นเอเชียก็มองว่าตลาดหุ้นของเกาหลีใต้น่าสนใจ เพราะแวร์ลูเอชั่นค่อนข้างถูกเมื่อเทียบตลาดอื่นๆในภูมิภาค รวมถึงตลาดหุ้นเวียดนาม ที่มองว่าน่าจะรีบาวด์กลับมาปรับขึ้นได้ดี และตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ขณะที่ตลาดหุ้นจีนยังมองว่าไม่น่าสนใจ เนื่องจากนโยบายกระตุ้นของภาครัฐยังไม่ได้ออกมาชัดเจน และยังรอดูการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ จึงยังแนะนำให้ Wait & See รอดูความชัดเจนก่อน
สำหรับตลาดหุ้นไทยที่กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น หลังได้นายกรัฐมนตรีใหม่และเตรียมจะจัดตั้งคณะกรัฐมนตรี รวมทั้งมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณนั้น มองว่าตลาดหุ้นไทยเริ่มกลับมาน่าสนใจมากขึ้น แต่อาจต้องติดตามผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมด้วยว่าภาครัฐจะจัดการได้ดีแค่ไหน จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจเหมือนช่วงปี 2554 ที่กระทบเศรษฐกิจค่อนข้างมากหรือไม่
ดังนั้น กลยุทธ์การจัดพอร์ตลงทุนในช่วงนี้ บลจ.เอ็กซ์สปริง จึงแนะนำให้เน้นลงทุนในตลาดหุ้นในสัดส่วนรวมร้อยละ 50 แบ่งตามตลาดหุ้นประเทศหลักที่กล่าวไปข้างต้น แห่งละร้อยละ 5-10 ส่วนอีกร้อยละ 20 มองว่าน่าจะอยู่ในการลงทุนตราสารหนี้ในระดับ Investment Grade หรือ ตราสารหนี้ที่มีระดับเรทติ้งที่ลงทุนได้
และที่เหลืออีกราวร้อยละ 30 แนะนำให้แบ่งการลงทุนในตราสารทางเลือก (Alternative Investment) อย่าง Private Equity หรือ หุ้นในบริษัทจำกัดที่ไม่ได้เปิดกว้างให้ประชาชนสามารถถือครองได้ อย่างเช่น กองทุนบำนาญ บริษัทประกัน ไปจนถึงผู้มีฐานะ (High Net Worth Investors) และกงสี (Family Office) และการลงทุนตราสารหนี้นอกตลาด (Private Credit) ที่จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้
ข่าวแนะนำ