หุ้นอิงธุรกิจในประเทศ หุ้นอันเดอร์เพอร์ฟอร์ม เป้าหมายเงินต่างชาติเข้าก.ย.นี้
หลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) คาดเงินลงทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยเดือนก.ย.นี้ หลังความไม่แน่นอนการเมืองลดลง และหุ้นไทย underperform ตลาดหุ้นอื่น
ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ(บจ.) ที่ทำการศึกษา 90 แห่ง มี EPS หรือ กำไรต่อหุ้น เติบโตร้อยละ 31 เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน( yoy ) และร้อยละ 6 เทียบกับไตรมาสก่อน(qoq) ในไตรมาส 2/67 ซึ่งผลประกอบการโดยรวมถือว่าสอดคล้องกับที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยกลุ่มที่มีกำไรสุทธิเติบโตแข็งแกร่ง คือ กลุ่มเกษตร, กลุ่มอาหาร, กลุ่มน้ำมันและก๊าซ, กลุ่มปิโตรเคมี, กลุ่มเทคโนโลยี, กลุ่มโทรคมนาคมและกลุ่มขนส่ง
ส่วนกลุ่มที่มีกำไรสุทธิเติบโตอ่อนตัวได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, กลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค, กลุ่มโรงแรม และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นบจ.ที่ทำการศึกษาจึงมีกำไรเติบโตร้อยละ 17 yoy ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ซึ่งมองว่าค่อนข้างดีเมื่อประเมินจากเศรษฐกิจในไตรมาส 2/67 ที่อ่อนตัว
แม้ว่านับตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ นักลงทุนต่างประเทศจะขายสุทธิ 1.2 แสนล้านบาท แต่คาดว่าเงินลงทุนจากต่างชาติจะไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนก.ย. 2567 เมื่อความไม่แน่นอนทางการเมืองลดลง บวกกับตลาดหุ้นไทย underperform (หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานค่อนข้างอ่อนแอ และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนแย่กว่าตลาดหุ้นโดยรวม) กว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ
จึงเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติน่าจะเปลี่ยนจากการลงทุนในกลุ่มปลอดภัย (defensive) และกลุ่มที่มีธุรกิจในต่างประเทศ (external exposure) มาลงทุนในกลุ่มที่เน้นธุรกิจในประเทศ (domestic play) และกลุ่มที่ underperform ตลาดอย่างมีนัยสำคัญแต่ยังมีพื้นฐานดี ดังนั้นหุ้นเด่น( Top pick ) ของฝ่ายวิเคราะห์ CGSI จึงประกอบด้วย AMATA, BBL, BCH, CBG, CPALL, CRC, KLINIQ และ PTTEP
และฝ่ายวิเคราะห์ CGSI เชื่อว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะยังจับมือกันและน่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่อย่างเป็นทางการภายใน 2-3 สัปดาห์นี้ ซึ่งจะทำให้ความไม่แน่นอนทางการเมืองลดลงและตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จึงคงเป้าดัชนี SET สิ้นปีอยู่ที่ 1,420 จุด เท่ากับ P/E 15 เท่าในปี 68 หรือ -1SD ของค่าเฉลี่ย 5 ปี
โดยมองว่า upside risk (ความเสี่ยงที่จะปรับขึ้น) จะมาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเชิงรุก, การเปิดตัวกองทุนวายุภักษ์ มูลค่า 1.5 แสนล้านบาทที่กระทรวงการคลังเตรียมเปิดขายในไตรมาส 3/67 และการลงทุนในกองทุน Thai ESG ที่ สามารถนำไปลดหย่อนภาษีเป็นสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท ส่วน downside risk (ความเสี่ยงที่จะปรับลดลง) จะมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ, ความล่าช้าของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตและการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ
ข่าวแนะนำ