TNN มองข้ามช็อตการเมือง เฟ้นหุ้นปลอดภัยเข้าพอร์ตรอปันผล

TNN

รายการ TNN

มองข้ามช็อตการเมือง เฟ้นหุ้นปลอดภัยเข้าพอร์ตรอปันผล

บลจ.เอ็กซ์สปริง เปิดมุมมองการลงทุนเพื่อตั้งรับ หลังศาลตัดสิน "เศรษฐา " สิ้นสุดการเป็นนายกฯ แนะจัดพอร์ตแบบกระจายการลงทุนไปต่างประเทศด้วย ไม่ควรทิ้งไว้ในตลาดหุ้นไทยทั้งหมด

นายยศกร ฟอลเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด เปิดเผยถึงมุมมองการลงทุนหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 : 4 ให้ คุณเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดการเป็นนายกรัฐมนตรี ว่า ตลาดหุ้นไทยบ้านเรามีปัจจัยหลักๆ ที่มีผลกระทบต่อราคาหุ้นก็มาจากการเมือง และล่าสุดที่ศาลตัดสินให้นายกฯ พ้นตำแหน่ง แต่สิ่งสำคัญจากนี้คิดว่าน่าจะอยู่ที่พรรคร่วมรัฐบาล ที่ต้องจับมือร่วมกันเพื่อจัดหาจัดตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ให้เร็ว ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยดึงความเชื่อมั่น (เซนติมเมนต์) กลับมาได้ 


เพราะนโยบายต่างๆที่รัฐบาลได้ทำมาใช่วงที่ผ่านมา ทั้งในเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงการดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) และ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet ) ที่มีแผนจะออกมาในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 และที่กระทรวงการคลังจะฟื้นกองทุนรวมวายุภักษ์ รวมทั้งกองทุน Thai ESG  ถ้ามาตรการเหล่านี้ออกดอกออกผลในช่วงไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4 ปีนี้ น่าจะช่วยพยุงให้ตลาดหุ้นไทยทั้ง SET และ mai ปรับตัวขึ้นมาได้ จากทั้งเม็ดเงินลงทุนจากผู้ลงทุนในประเทศและจากต่างประเทศ


อย่างไรก็ดี หลังกองทุนขายสุทธิไปวันนี้ (14 ส.ค.) มูลค่า 2,021 ล้านบาท บลจ.เอ็กซ์สปริง มองการลงทุนหลังจากนี้ว่า การลงทุนของเราในมุมมองของการลงทุนสถาบันยังมองที่ 3 ปัจจัยหลักการประเมินมูลค่า (VALUATION) ซึ่ง VALUATION ของหุ้นไทยปรับลดลงมากแล้ว และอีก 2 ปัจจัย คือ 1) โมเมนตัม หรือ ปัจจัยในการขับเคลื่อนตลาดยังขาดโมเมนตัมจากเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ และเม็ดเงินลงทุนในประเทศที่จะไหลกลับเข้าตลาดหุ้น และ 2) พื้นฐาน (FUNDAMENTAL) ไม่ว่าความไม่แน่นอนทางการเมือง ปัจจัยที่จะมาสร้างเป็นรูปแบบการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ (New S-curve) ต่อเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน ดังนั้น การลงทุนยังจำเป้นต้องกระจายสัดส่วนการลงทุนไปต่างประเทศด้วย ไม่ควรทั้งเงินลงทุนทังหมดไว้ในตลาดหุ้นไทย 


สำหรับมุมมองต่อการลงทุน บลจ.เอ็กซ์สปริง ยังคงแนะนำให้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง (Stay Invested) แต่ควรปรับพอร์ตไปลงทุนในตลาดต่างประเทศด้วย ทั้งในตลาดพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market : EM) อย่าง อินเดีย เวียดนาม และไต้หวัน 


โดยการจัดพอร์ตและการเลือกสินทรัพย์การลงทุน มองว่าร้อยละ 40 ยังควรลงทุนในตลาดหุ้น ส่วนอีกร้อยละ 30 ลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ทั้งในและต่างประเทศ อีกร้อยละ 20 แบ่งลงทุนการลงทุนทางเลือก (Alternative Investment) อาทิ ตราสารหนี้ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน หรือ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และอีกร้อยละ 10 ลงทุนในกองทุนตลาดเงิน (Money Market Fund) เพื่อลดความเสี่ยงความผันผวนของตลาดในช่วงนี้ 

ข่าวแนะนำ