"โตชิบา" ย้ายฐานผลิตจากจีนกลับไทย l การตลาดเงินล้าน
โตชิบา ขยับตัวครั้งใหญ่ย้านฐานผลิตจากจีนกลับมาที่ประเทศไทย พร้อมประกาศปักหลักทำตลาดเชิงรุก หวังชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น
การย้านฐานการผลิตกลับมาที่ไทย คุณ อเล็กซ์ มา รองประธาน บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด กล่าวว่า เริ่มทยอยย้ายฐานผลิตสินค้าบางส่วนมาที่ไทยแล้ว โดยเฉพาะสินค้าขนาดใหญ่ เช่น ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า ซึ่งย้ายมาแล้วมากกว่าร้อยละ 50 และครึ่งปีหลังจะดำเนินการต่อเนื่อง
ส่วนสาเหตุ เนื่องมาจาก ช่วงโควิด 19 ระบาดที่ผ่านมา ทำให้ค่าขนส่งสินค้าทางเรือ เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ซึ่งถือเป็นปัจจัยลบหลักของบริษัทฯ ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนมีทิศทางผันผวนเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวให้น้อยลง บริษัทฯ จึงมีแผนย้ายฐานการผลิตมาที่ไทย ซึ่งได้เตรียมการมานานกว่า 2 ปีแล้ว
จากเดิม มองว่าสินค้าที่ผลิตในจีน น่าจะได้เปรียบในเรื่องต้นทุน แต่นั่นเป็นสถานการณ์ก่อนโควิด 19 ระบาด เมื่อเกิดวิกฤติดังกล่าวขึ้น ก็ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป สิ่งที่เคยคิดว่าดี กลับไม่เป็นเช่นนั้นอีก ตอนนี้จึงทยอยดึงกลับมาผลิตในไทย ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า
ส่วนปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเศรษฐกิจในไทย และเศรษฐกิจโลก ต่างส่งผลกระทบโดยรวม แต่นั่นถือเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่สิ่งที่จะทำได้ คือการสร้างฐานธุรกิจของเราให้แข็งแกร่ง
จะเห็นได้ว่า บริษัทฯ มีการเปิดตัวสินค้าใหม่ออกมาต่อเนื่อง ในราคาที่แข่งขันได้ รวมถึงการออกแคมเปญการตลาดเพื่อสื่อสารไปยังกลุ่มผู้บริโภค สิ่งที่ทำมา ก็เพื่อตอบโจทย์ทั้งหมด และเตรียมพร้อมกับความท้าทายที่เกิดขึ้น คือถ้าเศรษฐกิจดี ก็จะส่งผลต่อบริษัทให้ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้เศรษฐกิจยังก้ำกึ่ง แต่เมื่อบริษัทมีความพร้อมมากกว่า ก็เชื่อว่าจะสามารถชนะได้
สำหรับตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศโดยรวม ยังเติบโตดี คุณ อเล็กซ์ ประเมินว่า มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 6 และหากมองเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ ได้แก่ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และเครื่องปรับอากาศ มีอัตราการเติบโต ถึงร้อยละ 10 แต่หากไม่นับรวมเครื่องปรับอากาศ นับเฉพาะตู้เย็นและเครื่องซักผ้า จะเติบโต ที่ร้อยละ 5 ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กนั้นพบว่า ติดลบ ที่ร้อยละ 7
ส่วน โตชิบา มีผลประกอบการเติบโตสูงกว่าคาด อยู่ที่ร้อยละ 26 ในครึ่งปีแรก และมีส่วนแบ่งตลาด หรือมาร์เก็ตแชร์ ติดอยู่ใน ท็อป 3 เกือบทุกสินค้า ได้แก่ ไมโครเวฟ มีมาร์เก็ตแชร์ เป็นอันดับ 1 ด้วยสัดส่วนร้อยละ 28.5 ตู้เย็น อยู่อันดับ 2 ที่ร้อยละ 16 หม้อหุงข้าว อยู่อันดับ 2 เช่นกัน มีสัดส่วนร้อยละ 9.2 และเครื่องซักผ้า อยู่อันดับ 3 มีส่วนแบ่งร้อยละ 10.8
นอกจากนี้ บริษัทฯ ไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ จากนี้จะเน้นออกสินค้าพรีเมียม เพื่อเจาะกลุ่มตลาดกลาง ถึง บน มากขึ้น ในครึ่งปีแรก เปิดตัวสินค้าใหม่ไปแล้ว ถึง 17 รุ่น ส่วนใหญ่เป็นสินค้าขนาดใหญ่ แต่ในครึ่งปีหลังจะเน้นเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นกลุ่มสินค้าชิ้นเล็ก คาดว่าจะออกอีกรวม 27 รุ่น เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้ารวมถึง มีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าเรือธง คือตู้เย็น เจแปนดิ ซีรีส์ (Japandi Series) ที่จะมาสร้างปรากฎการณ์ใหม่ในตลาดอีกด้วย
ด้านแผนการตลาด จะยังคงทำแคมเปญ 55 ปี ต่อเนื่องในครึ่งปีหลังนี้ เพื่อโปรโมทแบรนด์ รวมถึงการให้ความสำคัญด้านบริการหลังการขาย, ปรับโฉมศูนย์บริการโตชิบาให้ดูสวยงาม ทันสมัย มีการเทรนนิ่งและพัฒนาเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง ยกระดับบริการ ขยายเพิ่มพิเศษสำหรับรถโมบายเซอร์วิส ที่จะให้บริการพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้ากลุ่มพรีเมียม รวมไปถึงการเปิดศูนย์บริการพิเศษ เพื่อรองรับการให้บริการผู้บริโภคเพิ่มขึ้น โดยต้องการที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้กับสินค้าทุกกลุ่ม ส่วนเป้าหมายในปีนี้ ตั้งเป้าเติบโตร้อยละ 20 คิดเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 8 ปี
คุณกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด ให้มุมมองต่อสถานการณ์ในประเทศ ว่า การเมืองจะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทฯ เพราะที่ผ่านมาได้วางแผนขยายธุรกิจ โดยยืนอยู่บนขาตัวเอง การทำธุรกิจ บริษัทฯ เราขายของกับคนที่ต้องการใช้จริง ซึ่งปัจจุบัน เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย แต่เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันไปแล้ว และไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรเรายังเชื่อมั่นในประเทศไทย
ข่าวแนะนำ