นาฬิกาแบรนด์หรู ราคามือสองร่วงหนัก I การตลาดเงินล้าน
ราคานาฬิกาแบรนด์หรูในตลาดมือสอง ปรับตัวลดลง 9 ไตรมาสติดต่อกัน เนื่องจากนักลงทุนหันไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น หลังการระบาดของโควิด 19 คลี่คลาย
ดัชนี บลูมเบิร์ก ซับไดอัล วอตช์ (Bloomberg Subdial Watch Index) ซึ่งติดตามนาฬิกาที่มีการซื้อขายมากที่สุด 50 อันดับแรก ตามมูลค่าธุรกรรม ลดลงต่ำกว่าร้อยละ 1 ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
และข้อมูลจาก ซับไดอัล (Subdial) แพลตฟอร์มการซื้อขายนาฬิกาในสหราชอาณาจักร ยังแสดงให้เห็นด้วยว่า ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ดัชนีราคา ลดลงไปถึงร้อยละ 8 และลดลงไปมากถึงร้อยละ 23 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งตรงกันข้ามกับดัชนี เอส แอนด์ พี 500 (S&P 500) ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับสูงขึ้นถึงร้อยละ 27 ในปีที่ผ่านมา
สถานการณ์ดังกล่าว ต่างจากช่วงการระบาดของโควิด 19 ซึ่ง บลูมเบิร์ก ขยายความว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว ราคาในตลาดรองของนาฬิกาแบรนด์ชั้นนำของสวิส ซึ่งรวมถึง โรเล็กซ์ (Rolex), ปาเต็ก ฟิลิปส์ (Patek Philippe) และ โอเดอมาร์ส ปิเกต์ (Audemars Piguet) ได้ทะยานขึ้นสู่ระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน เนื่องจากนักช้อปที่ถูกกักตัวอยู่แต่ในบ้าน แห่นำเงินออมไปลงทุนในนาฬิกาหรู นั่นทำให้ ช่วง 12 เดือน จนถึงเดือนมิถุนายน ปี 2022 ดัชนี บลูมเบิร์ก ซับไดอัล วอตช์ พุ่งขึ้นถึงร้อยละ 40
อย่างไรก็ตาม นักเก็งกำไรที่เคยหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดรองของนาฬิกาหรู ในช่วงเวลานั้น แต่เวลานี้ ได้หันไปลงทุนในหุ้น และสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าแทน
ทิศทางดังกล่าว สอดคล้องกับ ดัชนี วอตช์ชาร์ตส์ โอเวอร์ ออล มาร์เก็ต (WatchCharts Overall Market Index) ซึ่งติดตามตะกร้านาฬิกาสวิสสุดหรูจำนวน 60 รุ่น จาก 10 แบรนด์ในตลาดมือสอง พบว่า ดัชนีราคา ณ ไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2024 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็น ไตรมาสที่ 9 ติดต่อกัน นับตั้งแต่ขึ้นไปแตะจุดสูงสุด ช่วงไตรมาสแรกของปี 2022
โดยไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ดัชนีราคาลดลงไปร้อยละ 2.1 จากไตรมาสแรกของปีเดียวกันและลดลงร้อยละ 1.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
จากรายงานของ มอร์แกน สแตนเลย์ (Morgan Stanley) ระบุด้วยว่า ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา มีเพียง 5 แบรนด์เท่านั้นที่ราคาปรับสูงขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
เช่น Montblanc (มงบลัง) เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 ส่วน Hamilton (แฮมิลตัน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2
ขณะที่ แบรนด์หรูอื่น ๆ ต่างก็มีผลงานที่ไม่ดีนัก อาทิ A. Lange & Söhne (อา. ลังเงอ อุนด์ โซเนอ) ราคาลดลงไปร้อยละ 5.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ Breitling (ไบร์ทลิง) ลดลงไปร้อยละ 5.9
ส่วน Omega (โอเมก้า) ลดลงร้อยละ 6.8 สำหรับ โรเล็กซ์ (Rolex) ลดลงไปถึงร้อยละ 7.2 และ Tag Heuer (แทค ฮอยเออร์) ก็ลดลงเช่นกัน ร้อยละ 7.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึง แบรนด์ Patek Philippe (ปาเต็ก ฟิลิปส์) ลดลงร้อยละ 10.7 และ Audemars Piguet( โอเดอมาร์ส ปิเกต์) ลดลงถึงร้อยละ 12.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ มอร์แกน สแตนเลย์ ยังคาดว่าแรงกดดันด้านราคาในตลาดรอง ของบรรดานาฬิกาแบรนด์หรู จะยังมีต่อเนื่องตลอดทั้งปีนี้พร้อมบอกด้วยว่า ราคาในตลาดมือสอง มีความสำคัญมากกว่าการเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงมูลค่าและความหรูหราของนาฬิกาบางรุ่น เพราะยังส่งผลต่อตลาดหลัก ซึ่งหมายถึงการจำหน่ายนาฬิกาผ่านตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตและอาจจะส่งผลต่อแบรนด์หรู อย่าง โรเล็กซ์ ที่ขึ้นชื่อว่าหาซื้อยาก หรือต้องรอเป็นระยะเวลานานมากกว่าจะได้มาเป็นเจ้าของ
จากเดิม โรเล็กซ์ ถือ เป็นแบรนด์เดียวที่ดูเหมือนจะรอดพ้นจากแรงกดดันด้านราคาและยอดขาย แต่สถานการณ์ในตอนนี้จะแตกต่างออกไป เพราะความร้อนแรงในตลาดมือสองที่ลดลงไป จะส่งผลให้มีอุปทาน (หรือซัพพลาย) นาฬิกา โรเล็กซ์ ในตลาดหลัก (ตลาดมือหนึ่ง) ที่หลากหลายมากขึ้น ผู้บริโภคในระดับเริ่มต้นจะสามารถหาซื้อได้ง่ายขึ้น และระยะเวลาในการรอคอยก็น่าจะถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น
เนื่องจากกลุ่ม เกรย์ มาร์เก็ต (gray market) ซึ่งมีพฤติกรรมเป็นนักเก็งกำไร คนเหล่านี้ จะซื้อนาฬิกา จากตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาต แล้วนำมาปล่อยต่อในสภาพใหม่เอี่ยม ในตลาดมือสอง เพื่อหวังเก็งกำไร ในช่วงตลาดขาขึ้น เมื่อตลาดเวลานี้ อยู่ในช่วงขาลง จะทำให้การเก็งกำไรในลักษณะนี้ลดลงไป
ข่าวแนะนำ