ไทยไม่ทิ้งการค้าเมียนมา เร่งหาแนวทางดันส่งออก

การค้าระหว่างไทยและเมียนมาระหว่างเดือนมกราคม – พฤษภาคม 2567   มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 3,048 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 

ไทยมีการส่งออกไปยังเมียนมาเป็นมูลค่า 1,773  ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากการขอใบอนุญาตนำเข้าสินค้าของประเทศเมียนมาใช้เวลานาน/ สำหรับการนำเข้าสินค้าจากเมียนมามายังประเทศไทยมีมูลค่า 1,274 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา /ไทยได้ดุลการค้าเป็นมูลค่า 499 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

สินค้าที่ไทยส่งออกไปเมียนมา ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป เครื่องดื่ม เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องเทศและสมุนไพร เคมีภัณฑ์ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ปูนซิเมนต์ ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล เป็นต้น

สินค้าที่ไทยนำเข้าจากเมียนมา ที่สำคัญ ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ เนื้อสัตว์สำหรับการบริโภค ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็ง แปรรูปและกึ่งสำเร็จรูป สัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ กาแฟ ชา เครื่องเทศ และเครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ 

 

รัฐบาลเมียนมาพยายามลดการขาดดุลการค้า หากพบการนำเข้าสินค้า ณ ท่าเรือ หรือสนามบิน ก่อนได้รับใบอนุญาตนำเข้า จะถูกดำเนินการภายใต้กฎหมายว่าด้วยการส่งออกและนำเข้าโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ทั้งยังกำหนดให้ 7 กลุ่มสินค้าต้องขอ Import License ผ่าน FESC ได้แก่ 1.ปุ๋ย 2.เหล็ก 3.ผลิตภัณฑ์ Solar 4.เม็ดพลาสติกโพลิโพพิลีน 5.วัตถุดิบเพื่อผลิตพลาสติก 6.ยานยนต์เพื่อใช้เชิงพาณิชย์ และ 7.เครื่องจักรเพื่อใช้เชิงพาณิชย์

รวมถึงรัฐบาลเมียนมาได้ควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศกับเงินสกุลจ๊าต ให้อยู่ที่ 2,100 จ๊าด ต่อ 1 เหรียญสหรัฐ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 ส่วนตลาดแลกเงินนอกระบบอยู่ที่ 4,500 จ๊าตต่อ 1 เหรียญสหรัฐ

ภาคเอกชนของไทยที่ทำการค้ากับเมียนมา ระบุว่า มีปัญหาอุปสรรคหลายอย่าง เช่น เมียนมาห้ามรถบรรทุกขนาดใหญ่ขนส่งสินค้าผ่านชายแดนเข้ามายังไทย, จำกัดการออกใบอนุญาตนำเข้าเพียงบริษัทละ 1 ใบ และใบอนุญาตการนำเข้าที่ออกให้ ยังจำกัดให้ใช้เฉพาะด่านการค้าเดียว