LTF ภาษีดีกว่า โบรกฯ ฝากความหวัง เชื่อกระตุ้นหุ้นไทยได้ผล
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าจะเป็นความหวังของตลาดหุ้นไทย คือการฟื้นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF ซึ่งความคืบหน้าล่าสุด ก็ดูมีสัญญาณที่ดี เพราะตัวเลือกน้อยลงเหลือเพียง 2 ตัวเลือกเท่านั้น นั่นคือ LTF และ THAI ESG แต่จากการประเมินของบรรดานักวิเคราะห์ ถึงแรงส่งในทางบวก ดูเหมือน LTF จะยังมีภาษีดีกว่า
บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ระบุว่าจากตัวเลือกของกระทรวงการคลัง ที่เหลือแนวทางศึกษากองทุนประหยัดภาษี ทั้ง LTF และ THAI ESG ฝ่ายวิจัยฯ จึงศึกษาว่ากองทุนประหยัดภาษีลักษณะไหน จะช่วยพยุงและเพิ่มสภาพคล่องให้ SET ได้ดีที่สุด โดยได้เปรียบเทียบเงื่อนไขและข้อจำกัดของแต่ละกองทุนประหยัดภาษีทั้ง LTF SSF และ THAIESG ว่ามีข้อแตกต่างกันอย่างไร
เริ่มที่สินทรัพย์ที่ลงทุน ถ้าเป็นกองทุน LTF กำหนดให้ต้องลงทุนหุ้นไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ขณะที่ THAIESG กำหนดลงทุนหุ้นและตราสารหนี้ไทย ที่ได้ “SET ESG RATING” ส่วนกรณีของ SSF สามารถกระจายลงทุนในสินทรัพย์ทุกประเภททั้งไทยและต่างประเทศ
ในส่วนของวงเงินสูงสุดที่ลดหย่อนได้ ถ้าเป็นกองทุน LTF ลดหย่อนได้สูงสุด 500,000 บาทโดยไม่รวมกองทุนอื่น แต่ถ้าเป็น SSF ลดหย่อนได้ 200,000 บาท และเมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ขณะที่ THAIESG ลดหย่อนได้ 100,000 บาทโดยเป็นการแยกวงเงิน ซึ่งไม่นับรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ
ด้านเงื่อนไขระยะเวลาการลงทุน ถ้าเป็นกองทุน LTF กำหนดให้ถือครองอย่างน้อย 7 ปีปฎิทิน แต่ถ้าเป็น THAIESG ต้องถือครองไม่น้อยกว่า 8 ปีบริบูรณ์ และถ้าเป็น SSF กำหนดระยะเวลาการถือครองยาวที่สุด คือไม่น้อยกว่า 10 ปีบริบูรณ์
จากทั้ง 3 เงื่อนไข จะเห็นได้ว่ากองทุน LTF มีข้อดีและสามารถพยุงหุ้นไทยได้มากกว่ากองทุน THAIESG และ SSF อย่างเห็นได้ชัด จึงนำมาสู่มูลค่าเม็ดเงินซื้อสุทธิของนักลงทุนที่มากกว่าเช่นกัน โดยกองทุน LTF มีมูลค่าเม็ดเงินเข้าเฉลี่ยรายเดือนอยู่ที่ 5,000 - 6,000 ล้านบาท ขณะที่กองทุน THAIESG และ SSF มีมูลค่าเม็ดเงินเข้าเฉลี่ยรายเดือนอยู่ที่ 1,100 - 1,200 ล้านบาทเท่านั้น
ดังนั้น ถ้าให้ฝ่ายวิจัยฯ เลือกเพียง 1 กองทุนที่สามารถเกิดขึ้นได้ ดังที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังบอกไว้ จึงขอเลือกกอง LTF เนื่องจากสามารถลงทุนในหุ้นไทยเต็มๆ หรือถ้าจะเป็นกองทุนใหม่ ก็แนะนำเน้นให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นไทยเป็นหลัก, เพิ่มเพดานวงเงินที่ลดหย่อนภาษีได้มากขึ้น และระยะเวลาถือครองน้อยลง ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้ คาดว่าจะทำให้ช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคักได้เหมือนในอดีตที่มีกองทุน LTF อยู่
ที่มา : บล.เอเซีย พลัส
ข่าวแนะนำ