5 สิ่งที่แย่ที่สุด เมื่อบุคลากรทางการแพทย์ถูกทำร้าย

นพ.เจษฎา ทองเถาว์ แพทย์เฉพาะทางสาขาจิตเวชศาสตร์ จิตแพทย์ประจำ รพ.พระศรีมหาโพธิ์ จ.อุบลราชธานี ได้โพสต์ข้อความลงในเพจ คลินิกสุขภาพจิตนายแพทย์ ระบุว่า

5 สิ่งที่แย่ที่สุด เมื่อบุคลากรทางการแพทย์ถูกทำร้าย

สรุปข่าว

จากเหตุการณ์ที่พยาบาลถูกญาติของผู้ป่วยบุกเข้ามาทำร้ายร่างกายในโรงพยาบาลอย่างป่าเถื่อน เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของปัญหาความรุนแรงที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องเผชิญ ปัญหานี้ไม่ได้กระทบแค่ร่างกาย แต่ยังส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรง และอาจนำไปสู่ภาวะทางสุขภาพจิตในระยะยาวด้วย


5 ผลกระทบทางจิตใจของพยาบาลที่ถูกทำร้าย


1️.ความรู้สึกไร้ความปลอดภัยในที่ทำงาน (Workplace Insecurity): โรงพยาบาลควรเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ พยาบาลอาจรู้สึกว่าตนเองไม่มีที่พึ่ง หรือไม่ได้รับการปกป้องจากระบบ ความรู้สึกไม่ปลอดภัยนี้อาจทำให้พยาบาลต้องทำงานด้วยความกลัว ส่งผลต่อประสิทธิภาพและคุณภาพของการให้บริการ


2️. ภาวะหมดไฟในการทำงาน : พยาบาลที่ถูกทำร้ายมักจะสูญเสียความรู้สึกผูกพันกับอาชีพของตนเอง และอาจรู้สึกว่า “ไม่อยากช่วยเหลือใครอีกแล้ว” งานวิจัยพบว่าบุคลากรทางการแพทย์ที่เผชิญความรุนแรงมีแนวโน้มลาออกจากงานมากกว่าปกติถึง 60%


3️.ความวิตกกังวลและความหวาดระแวง : พยาบาลที่เคยถูกทำร้ายอาจเกิดอาการวิตกกังวลทุกครั้งที่ต้องพบปะกับญาติของผู้ป่วยหรือทำงานในสถานการณ์ที่มีแรงกดดัน ความหวาดระแวงอาจทำให้เกิดอาการ “Hypervigilance” หรือการเฝ้าระวังมากเกินไปจนส่งผลให้เกิดความเครียดสะสม


4️.ภาวะซึมเศร้า : ความรุนแรงที่เกิดขึ้นอาจส่งผลให้พยาบาลเกิดความรู้สึกไร้ค่า หมดกำลังใจในการทำงาน และนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า งานวิจัยระบุว่ากว่า 50% ของบุคลากรทางการแพทย์ที่ถูกทำร้ายทางร่างกายมีแนวโน้มเกิดภาวะซึมเศร้า


5️.โรคเครียดหลังเผชิญเหตุการณ์รุนแรง (Post-Traumatic Stress Disorder - PTSD) การถูกทำร้ายโดยไม่คาดคิดอาจส่งผลให้เกิดPTSD ทำให้พยาบาลรู้สึกหวาดระแวง หวาดกลัว หรือแม้แต่ฝันร้ายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นงานวิจัยพบว่าบุคลากรทางการแพทย์ที่เผชิญความรุนแรงในที่ทำงานมีโอกาสเป็น PTSD สูงกว่าคนทั่วไปถึง 3 เท่า

เราจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร?

1. เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในโรงพยาบาล มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด มีกล้องวงจรปิดที่สามารถตรวจสอบเหตุการณ์ได้ และควรมีระบบแจ้งเตือนฉุกเฉินในทุกแผนก

 2. สนับสนุนด้านสุขภาพจิตให้บุคลากรทางการแพทย์ จัดให้มีทีมจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อช่วยให้พยาบาลสามารถรับมือกับผลกระทบทางจิตใจที่เกิดขึ้น นอกจากนั้นโรงพยาบาลควรมี “Safe Zone” หรือพื้นที่สำหรับการระบายความเครียดของบุคลากร

 3. สร้างความเข้าใจในสังคมเกี่ยวกับบทบาทของบุคลากรทางการแพทย์ รณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจถึงความสำคัญของบุคลากรทางการแพทย์ และส่งเสริมการปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพ

ข้อคิดทิ้งท้าย

บุคลากรทางการแพทย์คือเสาหลักของระบบสาธารณสุข แต่พวกเขากลับต้องเผชิญกับความรุนแรงที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสถานที่ที่ควรเป็นที่พึ่งพิงของทุกคน เราทุกคนสามารถช่วยกันสร้างวัฒนธรรมที่เคารพซึ่งกันและกันได้

**ไม่มีใครสมควรถูกทำร้าย โดยเฉพาะคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้อื่น**