ช้อปแบรนด์หรูไทยโค่น "สิงคโปร์" ขึ้นแท่นอันดับ 1 ในอาเซียน l การตลาดเงินล้าน

จากการรวบรวมข้อมูลของ แบคนิฟิก เผยว่า ตลาดสินค้าแบรนด์หรูทั่วโลกในปัจจุบัน มีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาท เฉพาะในประเทศไทย มูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 200,000 ล้านบาท เป็นตัวเลขที่เติบโตขึ้น แซงหน้าสิงคโปร์แล้ว โดยสิงคโปร์มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ราว 140,000 ล้านบาท

ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยบวกมาจากการท่องเที่ยวที่เติบโต โดยประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ขณะเดียวกัน แบรนด์เอง ก็เห็นการเติบโต และเข้ามาเปิดชอปในไทยมากขึ้น

หากดูที่อัตราการเติบโต จะพบว่า ตลาดมือ 1 ทั่วโลก ปัจจุบันเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 4-5 เท่านั้น แต่สำหรับแบรนด์มือสองแล้ว อัตราเติบโตสูงถึงร้อยละ 10 ถึงร้อยละ 15 สะท้อนว่าเป็นธุรกิจที่กำลังเติบโตดีทีเดียว

มูลค่าตลาดแบรนด์หรูมือสองในไทย มีมูลค่าการซื้อขายรวมอยู่ที่กว่า 40,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้ พอร์ตใหญ่ยังเป็นตลาดนาฬิกาหรู เพราะเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง ขณะที่กลุ่มกระเป๋า และสินค้าแฟชัน มูลค่าจะอยู่ที่ราว 10,000 ล้านบาท ถึง 15,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตสอดคล้องกับตลาดแบรนด์หรูมือ 1 ของไทย

ส่วนปัจจัยที่ทำให้ตลาดมือสองในประเทศ เติบโต เกิดจากพฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นหลัก

ข้อแรกคือ คนไทยรุ่นใหม่ จะให้ความสำคัญกับการสร้างภาพลักษณ์มากขึ้น และต้องการเป็นเจ้าของสินค้าที่มีคุณภาพสูง ในราคาจับต้องได้ ซึ่งสินค้ามือสอง โดยทั่วไปแล้วจะมีราคาต่ำกว่ามือหนึ่ง อยู่ที่ประมาณร้อยละ 30-70 ขึ้นอยู่กับรุ่นและคุณภาพของสินค้า ทำให้คนกลุ่มนี้ สามารถเข้าถึงแบรนด์หรูได้ในราคาที่ถูกกว่า แต่ยังคงคุณค่าความเป็นแบรนด์ลักชัวรีเอาไว้

ขณะที่ สินค้าในชอปทั่วโลกหลายไอเทมที่เป็นตำนาน มักจะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นทุกปี แบรนด์เนมมือสอง จึงเป็นอีกทางเลือก และยังเป็นทางเลือกที่ส่งเสริมคุณค่าการใช้ซ้ำด้วย

อีกปัจจัยเกิดจากกลุ่มนักสะสม ที่ต้องการมองหาสินค้ารุ่นพิเศษ หรือสินค้าหายาก (แร ไอเทม) ในตลาดมือ 1 ตลาดแบรนด์มือสอง จึงเป็นอีกวิธีที่คนกลุ่มนี้จะตามหาสินค้าที่ต้องการได้

ขณะที่ช่องทางการจำหน่าแบรนด์เนมมือสอง ในปัจจุบันได้รับการยอมรับ และได้รับความนิยมมากขึ้นประกอบกับ ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวหลายปีที่ผ่านมา ทำให้มีการนำสินค้าแบรนด์เนมออกมาขาย เพื่อสร้างสภาพคล่องทางการเงิน


สรุปข่าว

ขณะที่กลุ่ม นิว มันนี่ (New Money) หรือเศรษฐีใหม่ ที่ต้องการใช้สินค้าลักชัวรีแบรนด์ ก็จะเริ่มเข้าสู่วงการนี้ด้วยการใช้แบรนด์เนมมือสองก่อน ก็มี

สำหรับ กลุ่มสินค้าแบรนด์เนมมือสองที่ได้รับความนิยม อันดับหนึ่งคือ กลุ่มกระเป๋าถือ ถัดมาเป็น นาฬิกาหรู และอันดับ 3 จะเป็นกลุ่มแฟชันเสื้อผ้า 

ส่วนแบรนด์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ หลุยส์ วิตตอง, ถัดมาเป็น ชาแนล, ส่วนอันดับ 3 คือ แอร์เมส และ กุชชี จะอยู่ในอันดับใกล้เคียงกัน

ส่วนทิศทางจะเป็นอย่างไร คุณ ธานี สามสีเจริญลาภ ประธานเจ้าหน้าที่ ฝ่ายการเงินและบัญชี Bagnifique.brandname (แบคนิฟิก.แบรนด์เนม) คาดการณ์ว่า ตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือสองในประเทศ ยังมีทิศทางเติบโตและจะมีขนาดใหญ่ขึ้นอีก เนื่องจากความต้องการของลูกค้าคนไทย และจากนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่่ยวจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่เมื่อเดินทางเข้ามาในไทยแล้ว บางครั้งก็จะตรงเข้ามาชอปปิงแบรนด์เนมมือสองกันก่อนเลย โดยเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ทั้งกลุ่มเศรษฐี นักธุรกิจ นักลงทุน และ อินฟลูเอนเซอร์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ตลาดที่กำลังเติบโตอยู่นี้ ทำให้มีผู้ประกอบการเข้ามาในตลาดเพิ่มมากขึ้น ทั้งที่เป็นผู้ประกอบการไทย ซึ่งรายใหญ่จะมีอยู่ 2-3 ราย และมีร้านจากต่างชาติเข้ามาขยายธุรกิจในไทยด้วย เกี่ยวกับประเด็นนี้ คุณธานี ให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องปกติของตลาด โดยไม่ได้มองพวกเขาเป็นคู่แข่ง แต่จะเป็นพาร์ทเนอร์กันมากกว่า ที่มาร่วมสร้างตลาดให้เติบโตขึ้น และผลักดันให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางของสินค้าแบรนด์มือสองในภูมิภาคนี้ และจะแซงหน้าญี่ปุ่นได้ในอนาคต 

สำหรับ แบคนิฟิก.แบรนด์เนม ที่รับซื้อและจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมมือสอง คุณ ธารารัตน์ อนุรัตน์บดี ประธานกรรมการบริหาร เล่าว่า ประกอบธุรกิจนี้มานานแล้ว โดยเมื่อ 13 ปีก่อน เปิดสาขาแรกอยู่ที่ เมกะ บางนา และเมื่อ 3 ปีก่อน เห็นว่าตลาดมีการเติบโตสูงมาก จึงเริ่มขยายสาขา จนปัจจุบันมีทั้งหมด 5 สาขา ซึ่งนอกจากที่ เมกะ บางนาแล้ว ยังมีที่ เซ็นทรัล เวสต์เกท, เดอะมอลล์ บางกะปิ, แฟชัน ไอส์แลนด์ และ ซีคอน สแควร์ขณะเดียวกัน ยังมีช่องทางซื้อขายออนไลน์ ในทุกช่องทาง อีกด้วย

ปัจจุบันมีสินค้าแบรนด์หมุนเวียน มากกว่า 10,000 รายการ รวมมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ซึ่งมีตั้งแต่รุ่นยอดนิยม ไปจนถึงรุ่นหายาก

ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี มูลค่าการซื้อขายเติบโตต่อเนื่อง โดยปี 2565 มีมูลค่าการซื้อขาย จำนวน 210 ล้านบาท ปี 2566 มูลค่า 480 ล้านบาท และล่าสุดปี 2567 มีมูลค่าการซื้อขายรวมประมาณ 640 ล้านบาท ซึ่งคุณ ธารารัตน์ กล่าวด้วยว่า ตั้งเป้าการซื้อขาย สำหรับปีนี้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท และจะขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีก 2-3 แห่ง

ที่มาข้อมูล : Bagnifique.brandname

ที่มารูปภาพ : Bagnifique.brandname