
งานวิจัยใหม่ที่ได้รับมอบหมายจากองค์กรไม่แสวงหากำไร WaterAid พบว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เมืองที่เคยมีฝนตกชุก เช่น ฮ่องกง มีแนวโน้มแห้งแล้งมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ฮ่องกงถูกจัดอยู่ในกลุ่มเมืองที่เผชิญภาวะอากาศ "พลิกผัน" จากฝนตกชุกไปสู่ภาวะแห้งแล้ง เช่นเดียวกับกรุงไคโรของอียิปต์ กรุงมาดริดของสเปน และเมืองริยาดกับเจดดาห์ของซาอุดีอาระเบีย
การศึกษานี้วิเคราะห์แนวโน้มของสภาพอากาศใน 100 เมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก และพบว่า 44% ของเมืองเหล่านี้กำลังมีแนวโน้มแห้งแล้งมากขึ้น โดย 7% ของเมืองที่ศึกษากำลังเผชิญกับภาวะ "พลิกผันของอันตรายทางภูมิอากาศ" ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงจากภาวะฝนตกหนักเป็นความแห้งแล้งสุดขีด

สรุปข่าว
ในขณะเดียวกัน เมืองในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น โคลัมโบ (ศรีลังกา) มุมไบ (อินเดีย) และกัวลาลัมเปอร์ (มาเลเซีย) กลับเผชิญภาวะเปลี่ยนแปลงในทิศทางตรงกันข้าม คือจากแห้งแล้งไปสู่ฝนตกชุก ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่ออุทกภัยที่รุนแรงและส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชากรหลายล้านคน
ปี 2024 ถือเป็นปีที่ร้อนที่สุดของฮ่องกงตั้งแต่ปี 1884 โดยมีอุณหภูมิสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 35 ครั้ง รวมถึงอุณหภูมิสูงสุดของเดือนมีนาคมที่ 31.5 องศาเซลเซียส และเดือนเมษายนที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ ปัจจัยที่ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ได้แก่ อุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่ร้อนขึ้น ลมใต้ที่แรงขึ้น และมรสุมที่อ่อนแอลง ปริมาณน้ำฝนรวมของปี 2024 อยู่ที่ 2,309.7 มิลลิเมตร ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปี 1991-2020 ประมาณ 5%
แนวโน้มแห้งแล้งยังคงดำเนินต่อไปในปี 2025 โดยปริมาณน้ำฝนของเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ต่ำกว่าค่าปกติถึง 67% และ 33% ตามลำดับ และกรมอุตุนิยมวิทยาของฮ่องกงคาดการณ์ว่าฤดูใบไม้ผลิปีนี้จะมีอากาศร้อนและแห้งกว่าปกติ
ฮ่องกงกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง จากเมืองที่เคยมีฝนตกชุกกลายเป็นเมืองที่เผชิญภาวะแห้งแล้ง ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดการระเหยของความชื้นมากขึ้น และทำให้วัฏจักรน้ำเสียสมดุล แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบต่อเมืองใหญ่ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง

Wasana Chutisinthu
(Wasana)