
การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลกระทบต่ออาเซียนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการลดงบประมาณด้านการเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศ การถอนตัวจากข้อตกลงปารีส และการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีพลังงานสะอาดจากจีน สิ่งเหล่านี้สร้างความท้าทายต่อการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของอาเซียน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพึ่งพาเงินทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
ผลกระทบของนโยบายทรัมป์ต่ออาเซียนมีหลายด้าน เช่น การลดลงของเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศ สหรัฐฯ ถอนตัวจากโครงการ Just Energy Transition Partnership (JETP) ที่สนับสนุนอินโดนีเซียและเวียดนาม ส่งผลให้แหล่งเงินทุนสำหรับการเปลี่ยนผ่านพลังงานลดลง ขณะที่สถาบันการเงินสหรัฐฯ ก็ถอนตัวจาก Net-Zero Banking Alliance (NZBA) ทำให้ทางเลือกด้านเงินทุนของอาเซียนแคบลง

สรุปข่าว
ตามมาด้วยการแข่งขันด้านพลังงานสีเขียวระหว่างจีน-สหรัฐฯ การที่สหรัฐฯ ลดบทบาทในด้านการเงินและนโยบายสีเขียว เปิดโอกาสให้จีนขยายอิทธิพลผ่านโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) และการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนในอาเซียน ซึ่งอาจสร้างความเสี่ยงด้านการพึ่งพาทางยุทธศาสตร์
นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้า การขึ้นภาษีสินค้าจากจีน รวมถึงแผงโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่ อาจทำให้ต้นทุนพลังงานหมุนเวียนของอาเซียนสูงขึ้น ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานสะอาด
แนวทางที่อาเซียนควรดำเนินการ คือ อาเซียนควรเสริมสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค กระจายแหล่งเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศ ลดการพึ่งพาจีนด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และผลักดันให้เกิดข้อตกลงการค้าที่เป็นธรรม การมีจุดยืนร่วมกันในเวทีโลกจะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองของอาเซียน และสร้างโอกาสในการเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสะอาดในอนาคต
แม้ว่านโยบายของรัฐบาลทรัมป์จะไม่สามารถหยุดยั้งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของอาเซียนได้ แต่จะเพิ่มอุปสรรคที่ทำให้การบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศซับซ้อนยิ่งขึ้น การมีแผนยุทธศาสตร์ที่รอบคอบและความร่วมมือที่เข้มแข็งในระดับภูมิภาคจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
ที่มาข้อมูล : thediplomat.com
ที่มารูปภาพ : Reuters

Tawee Pengpala
(Tawee)