คาดปี 68 “แล้ง” ไม่หนัก ยังรับอิทธิพล “ลานีญา” แต่ปีหน้าอาจแล้งหนักจาก “เอลนีโญ”

รองศาสตราจารย์วิษณุ ยังระบุด้วยว่า สิ่งสำคัญคือต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ที่เห็นได้ชัดคือ ปกติปรากฎการณ์เอลนีโญและลานีญาจะเกิดขึ้นเฉลี่ย 2-7 ปีต่อครั้ง แต่ระยะหลังพบว่าเกิดสลับถี่มากขึ้นปีต่อปี หรือ ในหนึ่งปีมีทั้งสองปรากฎการณ์เกิดขึ้น 

ด้านเกษตรกรต้องรับมือกับ สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปต้องเตรียมพร้อมบริหารจัดการน้ำข้ามปี สำรองน้ำสำหรับใช้ปีหน้าด้วย เนื่องจากหากปรากฏการณ์เอลนีโญเข้ามาอย่างเต็มรูปแบบก็อาจจะส่งให้ขาดแคลนน้ำทางการเกษตรกรได้ จึงต้องเตรียมการ เช่น ขุดลอกคูคลองที่ตื้นเขินเพื่อกักเก็บน้ำ และวางแผนการทำเกษตร ปลูกข้าวในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของตลาด ปลูกพืชหมุนเวียนหรือพืชทดแทน ผสมผสานการปลูกข้าวเพื่อเพิ่มผลผลิตและรายได้ ซึ่งจากงานวิจัย พบว่าร้อยละ 92 เกษตรกรที่ปลูกข้าวร่วมกับพืชอื่นให้ผลผลิตตอบแทนได้ดีกว่าปลูกข้าวอย่างเดียว

รองศาสตราจารย์วิษณุ ยังแนะนำเกษตรกรในช่วงหน้าแล้ง ควรปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอย่างอื่นแทนการปลุกข้าวนาปีังที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำและต้องใช้น้ำมาก ไปปลูกพืชอื่นที่ให้มูลค่าเพิ่มสูงหรือปลูกพืชหมุนเวียนอีกชนิด เช่นข้าวโพดหลังนา ซึ่งจะทำคุณภาพดินดีขึ้น และไม่ต้องแย่งเรื่องตลาด ทำให้เกิดรายได้ที่มั่นคงเพิ่มขึ้น