
โครงการบริการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคอเปอร์นิคัส (Copernicus Climate Change Service) ของสหภาพยุโรปรายงานว่า ปริมาณน้ำแข็งทะเลทั่วโลกแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยข้อมูลดังกล่าวรวบรวมปริมาณน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือ (อาร์กติก) และขั้วโลกใต้ (แอนตาร์กติกา) ซึ่งมีการบันทึกย้อนหลังไปถึงช่วงปลายทศวรรษ 1970
ก่อนหน้านี้ ปี 2023 เคยทำสถิติน้ำแข็งทะเลทั่วโลกลดลงต่ำที่สุด แต่ในปีนี้ตัวเลขดังกล่าวถูกทำลายลงอีกครั้ง นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าสาเหตุหลักมาจากคลื่นความร้อนในแถบอาร์กติก ซึ่งส่งผลให้กระบวนการก่อตัวของน้ำแข็งในเดือนกุมภาพันธ์ไม่เป็นไปตามปกติ
Copernicus รายงานว่า ปริมาณน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกในเดือนกุมภาพันธ์ลดลง 8% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ซึ่งนับเป็นระดับต่ำสุดของเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว อาร์กติกก็เพิ่งทำสถิติใหม่ของปริมาณน้ำแข็งต่ำสุดในช่วงฤดูร้อนเช่นกัน
องค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NOAA) ระบุว่า น้ำแข็งทะเลมีบทบาทสำคัญในการช่วยชะลอภาวะโลกร้อน โดยการสูญเสียน้ำแข็งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทั้งบนบก

สรุปข่าว
นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า การลดลงของน้ำแข็งทะเลจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ โดยเฉพาะในด้านต่อไปนี้
- การเร่งภาวะโลกร้อน องค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NOAA) ระบุว่า น้ำแข็งทะเลทำหน้าที่สะท้อนพลังงานจากดวงอาทิตย์กลับสู่อวกาศ แต่เมื่อน้ำแข็งละลาย น้ำทะเลสีเข้มจะดูดซับความร้อนมากขึ้น ทำให้มหาสมุทรอุ่นขึ้นและส่งผลให้การละลายของน้ำแข็งเกิดขึ้นเร็วขึ้น เป็นวงจรที่เลวร้ายต่อสภาพอากาศโลก
- ผลกระทบต่อระบบนิเวศและสัตว์ป่า น้ำแข็งที่ลดลงส่งผลกระทบต่อสัตว์ขั้วโลกโดยตรง เช่น หมีขั้วโลก แมวน้ำ และนกเพนกวิน ซึ่งอาศัยน้ำแข็งเป็นที่อยู่อาศัยและแหล่งล่าสัตว์ อุณหภูมิที่สูงขึ้นยังทำให้สัตว์บางชนิดต้องเปลี่ยนแหล่งที่อยู่อาศัย ส่งผลต่อสมดุลของระบบนิเวศ
- ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ปริมาณน้ำในมหาสมุทรเพิ่มขึ้น ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลให้พื้นที่ชายฝั่งถูกน้ำท่วม และเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น เช่น พายุซัดฝั่งและน้ำท่วมฉับพลัน
- ผลกระทบต่อสภาพอากาศทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงของน้ำแข็งขั้วโลกส่งผลต่อ กระแสลมและกระแสน้ำในมหาสมุทร ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพอากาศของโลก ภาวะน้ำแข็งละลายอาจทำให้เกิดปรากฏการณ์สภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น เช่น คลื่นความร้อน ไฟป่า และพายุไซโคลน
นักวิทยาศาสตร์เน้นย้ำว่าการลดลงของน้ำแข็งทะเลเป็นสัญญาณชัดเจนว่า โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง และจำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป นักวิจัยคาดการณ์ว่า โลกอาจสูญเสียน้ำแข็งในช่วงฤดูร้อนของอาร์กติกทั้งหมดภายในปี 2050 ซึ่งจะส่งผลกระทบมหาศาลต่อสภาพอากาศโลก
การทำสถิติต่ำสุดของปริมาณน้ำแข็งทะเลในเดือนกุมภาพันธ์ ถือเป็นอีกหนึ่งหลักฐานของภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การสูญเสียน้ำแข็งไม่เพียงแต่ส่งผลต่อระบบนิเวศในขั้วโลกเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อสภาพอากาศทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์เรียกร้องให้มีการดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อชะลอภาวะโลกร้อนก่อนที่จะสายเกินไป

Wasana Chutisinthu
(Wasana)