จะร้อนวันไหน? กรมอุตุฯ เผยสภาพอากาศล่าสุด เตรียมตัวปาดเหงื่อ

กรมอุตุนิยมวิทยา เผย ประเทศไทยจะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 2568 เป็นต้นไป และจะสิ้นสุดฤดูร้อนในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม คาดว่าฤดูร้อนปีนี้จะร้อนน้อยกว่าปี 2567 ตามที่รายงานไปแล้วนั้น

ล่าสุด กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์อุณหภูมิช่วง บ่ายถึงเย็น โดยอากาศร้อนจะเริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้ ใน พื้นที่ กทม. ปริมณฑล ภาคกลาง ภาคตะวันออก อีสานตอนกลาง และตอนล่าง ส่วนภาคเหนือ ภาคอีสานตอนบน ยังร้อนช้ากว่าบริเวณอื่นๆ แต่ 28 ก.พ.68 ประเทศไทยจะอากาศร้อนหลายพื้นที่ แต่ร้อนจัด (ตั้งแต่ 40.0 ซ. ขึ้นไป) อาจจะยังมีบางจุด (เฉดสีขาวถึงสีเทา อุณหภูมิ ตั้งแต่ 37 - 39 ซ.)

ภาพจาก กรมอุตุฯ

จะร้อนวันไหน? กรมอุตุฯ เผยสภาพอากาศล่าสุด เตรียมตัวปาดเหงื่อ

สรุปข่าว

ก ประเทศไทยจะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 2568 เป็นต้นไป และจะสิ้นสุดฤดูร้อนในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม โดยประเทศไทยจะอากาศร้อนหลายพื้นที่ แต่ร้อนจัด (ตั้งแต่ 40.0 ซ. ขึ้นไป) เตือน 5 โรคที่ต้องระวังในช่วงหน้าร้อน

คาดหมายอากาศรายภาค ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ – 4 มีนาคม พ.ศ. 2568

ภาคเหนือ

ในช่วงวันที่ 27 ก.พ. – 4 มี.ค. อากาศเย็นและมีหมอกบางในตอนเช้า กับมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 20 – 24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29 – 38 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8 - 16 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 5 - 15 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 - 20 ของพื้นที่ ส่วนมากทางตอนล่างของภาคตลอดช่วง ในช่วงวันที่ 26 ก.พ. – 1 มี.ค. อากาศเย็นและมีหมอกบางในตอนเช้า กับมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยอุณหภูมิจะสูงขึ้น 2 – 4 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 18 – 25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27 - 36 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14 - 18 องศาเซลเซียส

ส่วนในช่วงวันที่ 2 – 4 มี.ค. อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 21 – 27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34 - 37 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 17 - 21 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10 - 15 กม./ชม.

ภาคกลาง

มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 – 20 ของพื้นที่ ส่วนมากทางตอนล่างของภาคตลอดช่วง มีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1 – 3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 20 – 27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30 – 37 องศาเซลเซียส

ในช่วงวันที่ 26 ก.พ. – 1 มี.ค. ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10 - 15 กม./ชม ส่วนในช่วงวันที่ 2 – 4 มี.ค. ลมใต้ ความเร็ว 10 - 15 กม./ชม

ภาคตะวันออก

มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 – 30 ของพื้นที่ตลอดช่วง ในช่วงวันที่ 26 ก.พ. – 1 มี.ค. มีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1 – 3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 22 – 26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33 – 36 องศาเซลเซียส

ส่วนในช่วงวันที่ 2 – 4 มี.ค. อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 26 – 28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34 – 37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10 - 30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้(ฝั่งตะวันออก)

ในช่วงวันที่ 27 ก.พ. – 1 มี.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20 – 30 ของพื้นที่ 

ตั้งแต่จังหวัดสุราษฏร์ธานี ขึ้นมา: ลมตะวันออก ความเร็ว 15 - 30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราช ลงไป: ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15 - 35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 2 – 4 มี.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 – 20 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 15 - 30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 20 – 27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 26 – 33 องศาเซลเซียส

ภาคใต้(ฝั่งตะวันตก)

มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 – 20 ของพื้นที่ตลอดช่วง อุณหภูมิต่ำสุด 24 - 27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27 - 34 องศาเซลเซียส
ในช่วงวันที่ 27 ก.พ. – 1 มี.ค. ลมตะวันออก ความเร็ว 15 - 30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 2 – 4 มี.ค. ลมตะวันออก ความเร็ว 10 - 30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร  

กรุงเทพและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 – 20 ของพื้นที่ตลอดช่วง ในช่วงวันที่ 26 ก.พ. – 1 มี.ค. มีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1 – 3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 22 – 26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33 – 37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10 - 15 กม./ชม.

ส่วนในช่วงวันที่ 2 – 4 มี.ค. อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 25 – 28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 36 – 38 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10 - 15 กม./ชม.

โรคที่ต้องระวังในช่วงหน้าร้อน

1.) โรคอุจจาระร่วง 

เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อก่อโรค ผู้ป่วยจะถ่ายเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำ อย่างน้อย 3 ครั้ง อาจอาเจียนหรือมีภาวะขาดน้ำร่วมด้วย ส่วนใหญ่มักหายได้เอง แต่บางราย อาจมีอาการรุนแรงและถึงขั้นเสียชีวิตได้

2) ไข้ไทฟอยด์หรือไข้รากสาดน้อย 

เกิดจากการได้รับเชื้อแบคทีเรียที่ถูกปล่อยออกมากับอุจจาระ หรือปัสสาวะและปนเปื้อนอยู่ในน้ำหรือมือ หากมีสุขอนามัยไม่ดีก็จะนำไปสู่การปนเปื้อนในน้ำหรืออาหารต่างๆ ได้ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงลอยมากกว่า 1 สัปดาห์ และมีอาการปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องอืดหรือท้องผูก บาง รายอาจถ่ายเหลวหรือมีผื่นขึ้นตามหน้าอกหรือลำตัว

3) โรคอาหารเป็นพิษ 

เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีสิ่งปนเปื้อนสารพิษหรือสารเคมี ซึ่ง มักพบในพืชและอาหารทะเลต่างๆ เช่น ปลา เห็ด หอย อาการป่วยจะขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของสารพิษที่ ได้รับ ผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยจะหายได้เองภายใน 24-48 ชั่วโมง ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง อาจอาเจียน และท้องเสียจนร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรุนแรงได้

4) โรคอหิวาตกโรค 

ติดต่อโดยการรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีเชื้ออหิวาตกโรคเข้าไป เช่น อาหาร สุกๆ ดิบๆ จะแสดงอาการของโรคภายใน 12 ชั่วโมง ถึง 5 วัน ส่วนใหญ่มีอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำ คลื่นไส้ อาเจียน บางรายมีภาวะขาดน้ำรุนแรงและอาจถึงขั้นเสียชีวิตได

5) โรคไวรัสตับอักเสบ เอ 

เกิดจากการติดต่อกันผ่านการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ หรืออาหารไม่ผ่านการล้างทำความสะอาด ไม่ล้างมือหลังสัมผัสสิ่งสกปรก รวมถึงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ที่ติด เชื้อ และการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อ อาการของโรคนี้มีตั้งแต่ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเล็กน้อยถึงรุนแรง โดยทั่วไปจะมีไข้อ่อนๆ เบื่ออาหาร เมื่อเป็นแล้วมักหายขาดไม่ทำให้เป็นโรคเรื้อรังหรือพาหะ

อ่านข่าว : ฤดูร้อน 2568 อากาศร้อนจัดหลายพื้น เช็กเลยภาคไหน? อุณหภูมิสูงสุด

ที่มาข้อมูล : กรมอุตุฯ/กรมควบคุมโรค

ที่มารูปภาพ : AFP/กรมอุตุฯ

avatar

Tanvarut Naumpakdee
(Tanvarut Naumpakdee)