
ประเทศไทยแม้จะมีอากาศร้อนชื้นเกือบตลอดปี แต่ในช่วงฤดูหนาว (ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์) อุณหภูมิที่ลดลงและสภาพอากาศที่แห้งขึ้นสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในช่วงเวลานี้
“ไข้หวัดใหญ่” เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) มีหลายสายพันธุ์ เช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A, B และ C โดยสายพันธุ์ A และ B เป็นสาเหตุหลักของการระบาดในมนุษย์ โรคนี้แพร่กระจายผ่านละอองฝอยจากการไอ จาม หรือสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อไวรัส

สรุปข่าว
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผย ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึงปัจจุบัน มีสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ แล้ว 99,057 คน เสียชีวิตแล้ว 9 ราย ซึ่งเมื่อเทียบกับข้อมูลเดิม เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2568 มีผู้ติดเชื้อ เพียง 7,819 คน ทำให้พบว่าภายในช่วง 15 วันที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นถึง 91,238 คน โดยแนวโน้มผู้ป่วยสูงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับปี 2567 และตัวเลขผู้ป่วยสูงกว่าค่ากลางย้อนหลัง 5 ปี
มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนพบ 15 เหตุการณ์ ส่วนใหญ่เกิดที่โรงเรียน ส่วนกลุ่มจังหวัดที่มีการแพร่ระบาดมากที่สุดคือ เขตสุขภาพที่ 9 ประกอบด้วย จังหวัดนครราชสีมา สุรินทร์ บุรีรัมย์ ชัยภูมิ พบผู้ป่วยสะสมแล้ว 6,938 คน ในจำนวนนี้เสียชีวิตถึง 3 ราย นอกจากนี้ พบผู้ป่วยมากที่สุดในกลุ่มเด็กอายุ 5-9 ปี รองลงมาคือ เด็กอายุ 4 ปี และอายุ 3 ปี
กระทรวงสาธารณสุขเร่งเดินหน้าฉีดวัคซีน จำนวน 4 ล้าน 5 แสนโดส ในกลุ่มเป้าหมายหลัก 7 กลุ่ม ตามสิทธิประโยชน์สปสช. คือ
1. เด็กอายุ 6 เดือน - 2 ปี
2. ผู้สูงอายุที่อายุ 65 ปีขึ้นไป
3. ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
4. ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค
5. ผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
6. ผู้ที่ป่วยเป็นโรคอ้วน มีน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป
7. หญิงตั้งครรภ์
พร้อมแนะนำบุคคลกลุ่มเสี่ยงโรครุนแรงทั้ง 7 กลุ่ม ให้รีบเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ เพื่อลดความรุนแรงของโรคและการเสียชีวิต

Kitsana Sangsri
(Kitsana Sangsri)