"ทรัมป์" ถอนสหรัฐฯ จากข้อตกลงปารีส กระทบวิกฤตโลกร้อน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศถอนตัวสหรัฐฯ จากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ทำให้ประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมรายใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ออกจากความพยายามร่วมกันของนานาชาติในการรับมือปัญหาโลกร้อน
การถอนตัวครั้งนี้ทำให้สหรัฐฯ เข้าไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับประเทศอิหร่าน ลิเบีย และเยเมน ซึ่งไม่ได้ร่วมข้อตกลงปี 2015 ที่มีเป้าหมายเพื่อควบคุมอุณหภูมิโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การประกาศดังกล่าวสะท้อนถึงท่าทีของทรัมป์ที่มองว่าปัญหาโลกร้อนเป็นเรื่องหลอกลวง และเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่เน้นการปลดล็อกข้อจำกัดต่าง ๆ เพื่อเพิ่มการผลิตน้ำมันและก๊าซในสหรัฐฯ ให้ได้สูงสุด
สรุปข่าว
ด้านเลขาธิการสหประชาชาติ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส แสดงความเชื่อมั่นว่า เมืองต่าง ๆ รัฐ และภาคธุรกิจในสหรัฐฯ จะยังคงเป็นผู้นำที่แสดงวิสัยทัศน์ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นคาร์บอนต่ำและความยืดหยุ่น ซึ่งสร้างงานคุณภาพให้กับประชาชน
ฟลอเรนเซีย โซโต นีโญ โฆษกของยูเอ็น ระบุในแถลงการณ์ว่า "การที่สหรัฐฯ คงบทบาทผู้นำในด้านสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ความพยายามร่วมกันภายใต้ข้อตกลงปารีสได้สร้างความเปลี่ยนแปลง แต่เรายังต้องเดินหน้าให้ไกลและรวดเร็วกว่านี้"
สำหรับสหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยอาศัยเทคโนโลยีการขุดเจาะ (fracking) และราคาพลังงานที่สูงขึ้นหลังการรุกรานยูเครนของรัสเซีย อย่างไรก็ตาม การถอนตัวครั้งใหม่นี้อาจส่งผลเสียต่อความพยายามระดับโลกในระยะยาวมากขึ้นกว่าครั้งแรกในปี 2017 ซึ่งทรัมป์เคยนำสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีสแล้วครั้งหนึ่ง แต่ถูกยกเลิกในยุคของประธานาธิบดีโจ ไบเดนในปี 2021
ส่วนทางด้านพอล วัตกินสัน อดีตนักเจรจาด้านสภาพภูมิอากาศจากฝรั่งเศส กล่าวว่า การถอนตัวครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่โลกกำลังเผชิญทางเลือกที่ยากลำบากในขั้นตอนการปฏิบัติ "สถานการณ์จะยากลำบากขึ้น เพราะตอนนี้เราอยู่ในช่วงที่ต้องลงมือทำจริงจัง"
รายงานล่าสุดของยูเอ็นระบุว่า โลกกำลังมุ่งหน้าสู่ภาวะโลกร้อนที่อุณหภูมิอาจเพิ่มขึ้นเกิน 3 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษนี้ ซึ่งจะนำมาสู่ผลกระทบรุนแรง เช่น ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น คลื่นความร้อน และพายุร้ายแรง
ในขณะที่หลายประเทศต้องดิ้นรนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมากเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แต่ความขัดแย้งทางการเมืองและงบประมาณที่จำกัดได้ทำให้การจัดการกับปัญหาโลกร้อนกลายเป็นประเด็นที่มีลำดับความสำคัญต่ำ
ในทางตรงกันข้ามกับประธานาธิบดีไบเดน ทรัมป์มีท่าทีสนับสนุนการเพิ่มผลิตน้ำมันและก๊าซ พร้อมระบุว่าเขาสามารถทำเช่นนั้นได้โดยไม่กระทบต่ออากาศและน้ำที่สะอาดในประเทศแต่ผู้เชี่ยวชาญอย่างหลี่ ชัว จากสถาบันนโยบายเอเชียแปซิฟิกชี้ว่า การถอนตัวของสหรัฐฯ อาจส่งผลเสียต่อความสามารถในการแข่งขันกับจีนในตลาดพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และยานยนต์ไฟฟ้า โดยกล่าวว่า "จีนจะได้เปรียบ และสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะตามหลังมากขึ้น"
ที่มาข้อมูล : หาเอง/ตัดต่อเอง
ที่มารูปภาพ : Reuters