
บิ๊กอรรถเผย ตรวจสอบเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 260 ราย พบส่วนใหญ่ถูกหลอก
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ เวลา 09.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการ บช.สอท. เปิดเผยถึงกรณีการผลักดันชาวต่างชาติที่ทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา จำนวน 260 ราย กลับเข้ามาในประเทศไทยทางอำเภอพบพระ จังหวัดตาก โดยมีการสั่งการให้ตำรวจไซเบอร์กว่า 50 นาย ปฏิบัติการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่แนวชายแดน เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และจัดเก็บอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของกลุ่มผู้ถูกส่งกลับ
หลังจากผ่านกระบวนการกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) พบว่า ส่วนใหญ่ของกลุ่มดังกล่าวตกเป็นเหยื่อของขบวนการคอลเซ็นเตอร์และอาจเข้าข่ายการค้ามนุษย์ โดยมีเพียง 2-3 รายเท่านั้นที่สมัครใจไปทำงาน ซึ่งข้อมูลนี้แตกต่างจากการรายงานก่อนหน้านี้ที่ระบุว่ามีเพียง 1 รายที่เป็นเหยื่อ ทั้งนี้ ตำรวจไซเบอร์ขออภัยในข้อผิดพลาดของข้อมูลเบื้องต้น เนื่องจากมีความคลาดเคลื่อนระหว่างรายงานครั้งแรกกับข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของผู้ถูกส่งกลับ
พยานหลักฐานและแนวทางการดำเนินคดี
จากการตรวจสอบ พบหลักฐานเลขรหัสประจำเครื่อง (IMEI) จำนวน 107 หมายเลข และข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือ 35 เครื่อง ซึ่งจะถูกนำไปวิเคราะห์เพิ่มเติมเพื่อระบุรูปแบบของการหลอกลวงและหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมสำหรับดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
ไม่ว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะก่ออาชญากรรมในประเทศใด หรือผู้ที่เข้าไปทำงานจะเป็นผู้สมัครใจหรือไม่ หากเข้าข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตำรวจจะดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งเป็นข้อหาที่มีโทษหนัก

สรุปข่าว
บทบาทของตำรวจในการคัดกรองเหยื่อ
ในกระบวนการคัดกรองผ่าน NRM ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองและตำรวจภูธรจังหวัดตากจะเป็นผู้ดำเนินการ ส่วนตำรวจไซเบอร์มีหน้าที่รวบรวมข้อมูลเพื่อขยายผลถึงเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์
สำหรับบุคคล 260 ราย หากพบว่าเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ จะได้รับการยกเว้นบางข้อหาตามกฎหมายคนเข้าเมือง ขณะที่ผู้ที่สมัครใจไปทำงานกับขบวนการดังกล่าวจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ตรวจสอบความเกี่ยวข้องของคนไทยกับขบวนการคอลเซ็นเตอร์
ตำรวจอยู่ระหว่างการพิสูจน์และรวบรวมข้อมูลว่า มีบุคคลหรือกลุ่มคนไทยที่ให้การช่วยเหลือหรือสนับสนุนขบวนการคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ หากพบว่ามีการนำพาหรือให้ความช่วยเหลือ และการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายไทย จะถูกดำเนินคดีฐานอาชญากรรมข้ามชาติ