
ผมยกตัวอย่างกรณีศึกษาของธุรกิจจีนที่เปี่ยมด้วยความเร็วในด้านต่างๆ แต่ก็ยังมีอีกหลายกรณีศึกษาดีๆ และต้นทุนความเสี่ยงอันเนื่องจากความเร็วดังกล่าวที่ผมอยากแลกเปลี่ยนกับท่านผู้อ่านครับ ...
ระดับการแข่งขันที่เหมาะสมและความไว้วางใจของผู้บริโภคที่มีต่อการกำกับดูแลของรัฐบาลจีน ก็เป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้ผู้บริโภคจีน “เปิดรับ” สินค้าและบริการใหม่อย่างรวดเร็ว
ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้สตาร์ตอัพในจีนกล้าที่จะลงทุนออกแบบและนำเสนอนวัตกรรมในตลาดที่แข่งขันสูงอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มโอกาสและลดความเสี่ยงทางธุรกิจไปพร้อมกัน ส่งผลให้ตลาดจีนมี “ชีวิตชีวา” ในอีกด้านหนึ่ง
วัฏจักรนี้ย้อนกลับไปกระตุ้นให้ธุรกิจมีกำไรและเพิ่มงบลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา และนำเสนอนวัตกรรมสินค้าและบริการเข้าสู่ตลาดรวดเร็วยิ่งขึ้น จีนจึงไม่เพียงเป็นที่รู้จักในด้านการนําเสนอสินค้าและบริการออกสู่ตลาดอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนวัตกรรมในส่วนของการดำเนินงานอีกด้วยและยังขยายไปสู่โมเดลใหม่ในการทำธุรกิจ สิ่งนี้ถือเป็น “ผลพลอยได้” ที่ธุรกิจในประเทศอื่นๆ อาจไม่มีหรือคาดไม่ถึง
อีกตัวอย่างที่ผมอยากหยิบยกก็คือ การเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ของเทมู (Temu) ที่สะท้อนถึง “คุณภาพของความเร็ว” แบบจีนได้เป็นอย่างดี
ก่อนอื่นผมขอทำความเข้าใจก่อนว่า “เทมูในจีน” ปรากฏกายในนามของ “พินตัวตัว” (Pinduoduo) ที่ใช้กลยุทธ์การซื้อแบบกลุ่มและการจับตลาดระดับล่างโค่นแชมป์เก่าอย่างอาลีบาบาได้ในยุคหลังโควิด
แต่เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาดสหรัฐฯ เทมูได้ปรับสโลแกนใหม่ “ช้อปปิ้งเหมือนเศรษฐีพันล้าน” (Shop Like a Billionaire) และทุ่มทุนครั้งใหญ่ในการดำเนินกลยุทธ์ส่งเสริมการตลาดในกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นผู้สนับสนุนหลักของการแข่งขันซุปเปอร์โบว์ล (Super Bowl)

สรุปข่าว
งานนี้อาจกล่าวได้ว่า “ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่ไม่คาดคิดนำไปสู่ผลตอบแทนมหาศาลที่ไม่คาดฝันได้” ด้วยพื้นฐานความคิด “ความเร็วของจีน” ไม่เพียงเป็นการลดอุปสรรค แต่ยังเพิ่มทักษะเชิงกลยุทธ์อีกด้วย
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา คนไทยเองก็ต่างพูดถึง การเข้าสู่ตลาดของ “เทมู” ด้วยสินค้าที่ราคาที่จับต้องได้และบริการหลังการขายที่พร้อมสรรพกันอย่างแพร่หลาย เรียกว่าช่วยโฆษณาทางอ้อมให้คนไทยรู้จักในวงกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสะท้อนภาพเทคนิคในการสร้าง “ความเร็วของจีน” ในการเข้าสู่ตลาดได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี ความท้าทายหนึ่งก็คือ การพัฒนา “อย่างรวดเร็ว” ในจีนก็มี “ต้นทุน” และ “ความเสี่ยง” แฝงอยู่ แม้ว่าการปกป้องคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในจีนจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีหลัง ทั้งในเชิงมาตรฐานความเป็นสากล และภูมิศาสตร์ แต่ก็ยังกระจุกตัวอยู่ในเมืองเอก อาทิ ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้
ผมยังสังเกตเห็นว่า การพัฒนาดังกล่าวดูเหมือนจะชะลอตัวลง ส่งผลให้จำนวนกรณีการละเมิดกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งในยุคหลังโควิด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ระดับการปกป้องคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เข้มข้นยังเป็น “จุดอ่อน” ในจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองรอง ซึ่งธุรกิจที่เข้าไปประกอบการในพื้นที่ต้องแบกรับภาระต้นทุนและความเสี่ยงเหล่านั้น
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีนได้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการขยายตลาดและการวางแผนเชิงกลยุทธ์
ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีน 2 รายคือ หัวเหว่ย (Huawei) และเว่ยไหล (Weilai) หรือนีโอ (Nio) ที่คนไทยเรียกกันจนติดปาก ได้จุดประกายการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง
โดยเมื่อกลางปี 2024 หัวเหว่ยเปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่น Mate XT แบบ 3 พับรายแรกของโลก ทําลายสถิติด้านการออกแบบและคุณสมบัติด้านเทคนิค อาทิ หน้าจอแบบพับที่ใหญ่ที่สุดและบางที่สุด จนคาดว่าจะเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนและเป็นตัวแทนของแนวโน้มของเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคต จึงไม่น่าแปลกใจที่เราเห็นยอดการจองที่น่าตื่นตะลึงกว่า 3 ล้านเครื่องเพียงชั่วเวลาสั้นๆ
แถมเพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น หัวเหว่ยก็ยังเปิดตัวสมาร์ตโฟนเจนใหม่ที่ทำเอา FC จำนวนมากไปเข้าคิวรอจองในโชว์รูมของบริษัท ณ หนานจิงลู่ ถนนคนเดินใจกลางนครเซี่ยงไฮ้
โดยอาศัยนวัตกรรม “การเปลี่ยนแบต” ที่รวดเร็วแทนที่ “การชาร์จแบต” ในช่วงหลายปีหลัง นีโอก็เปิดตัว EV ใหม่ของตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่น ET5 และ ET5T ที่เป็นผู้นําในด้านการออกแบบ การกําหนดค่ามาตรฐาน โดดเด่นด้านความเป็นอัจฉริยะ และอายุการใช้งาน ทำให้นีโอกลายเป็น “ผู้เล่นหลัก” ในการกําหนดจังหวะตลาด EV ในจีน และสามารถ “เปลี่ยนเลนส์แซง” ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำตลาด EV ในจีนด้วยระบบการขายบนหลักการของ “Battery as a Service” (BaaS) ที่มีประสิทธิภาพ ทําให้ผู้บริโภคสามารถซื้อหา EV ระดับไฮเอนด์ได้ในราคาต่ำ
นอกจากนี้ บริษัทยังทุ่มเททรัพยากรในการลงทุนจัดตั้งเครือข่าย “สถานีเปลี่ยนแบต” ที่ใหญ่ที่สุดของจีน สามารถครอบคลุมผู้ใช้ในชุมชนเมืองมากกว่า 80% ในช่วงเวลาไม่กี่ปี ความสะดวกสบายและประสิทธิภาพของการเปลี่ยนแบตแบบยกแบตทั้งลูก และการตลาดรูปแบบใหม่ดังกล่าวไม่เพียงช่วยแก้ไขปัญหาความวิตกกังวลของผู้ใช้ EV แต่ยังเสริมสร้างความมั่นใจและความนิยมของ EV ในตลาดจีนได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
ล่าสุด เรายังเห็น “ความเร็วของจีน” ผ่านการเปิดตัว 2 ปัญญาประดิษฐ์แบบเปิด (Open Source)จากหางโจว (Hangzhou) เมืองเอกของมณฑลเจ้อเจียงในช่วงเทศกาลตรุษจีนของปี 2025
อย่าง “ดีพซีค” (DeepSeek) และ “เควน 2.5 แม็กซ์” (Qwen 2.5 Max) ของค่ายอาลีบาบาที่สร้างความตื่นตะลึงทั้งในแง่ระยะเวลาและการใช้เงินลงทุนในการพัฒนา ประสิทธิภาพ และความอัจฉริยะ ที่ทำเอาราคาหุ้นของบริษัทไฮเทคในสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่นดิ่งระนาวเพียงชั่วข้ามคืน และส่งสัญญาณการทบทวนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานห่วงโซ่อุปทานด้านปัญญาประดิษฐ์ครั้งใหญ่
การมาของเอไอจีนดังกล่าวยังทำให้ผู้คนในวงการไฮเทคประเมินว่า เอไอจีนได้ก้าวแซงหน้าเอไอโลกไปแล้ว ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายที่จีนประกาศไว้ถึง 5 ปีเลยทีเดียว!!!
มาถึงจุดนี้ เราคงพอสรุปได้ว่า “ความเร็ว” กลายเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจจีน และคงไม่มีประโยชน์ที่เราคิดแต่จะ “ตั้งรับ” หรือพยายาม “ชะลอ” ความเร็วดังกล่าว
“ความเร็ว” ของจีนในการวิจัยและพัฒนาเชิงพาณิชย์ การผลิต การตลาด และอื่นๆ ตลอดห่วงโซ่แห่งคุณค่า ยังเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับธุรกิจต่างชาติที่ต้องแข่งกับธุรกิจจีน ขณะเดียวกัน ความเร็วของธุรกิจจีนก็ยังกําลังทยอยเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจ พฤติกรรมการบริโภค และอื่นๆ ของโลก
ผมเชื่อว่า จีนจะยังคงมีบทบาทสําคัญในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในอนาคต และนํานวัตกรรมและความก้าวหน้าที่จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอีกมากออกไปทั่วโลก ดังนั้น นอกจากไทยเราต้องยอมรับใน “ความเร็ว” ของจีนแล้ว เรายังต้องเรียนลัดและปรับเพิ่มความเร็วในการพัฒนาให้ทัดเทียมกับของจีน เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจมหภาคของไทยได้รับประโยชน์และเติบโตไปกับความเร็วของจีนได้อย่างเป็นรูปธรรม
ในระดับจุลภาค ธุรกิจของไทยก็จำเป็นต้อง “วิ่งสู้ฟัด” ให้ความสำคัญกับการพัฒนา “ความคล่องตัว” เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมใน “ระยะสั้น” ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ในการคิด “เชิงกลยุทธ์” เพื่อเกาะกระแสและแนวโน้มใหม่ใน “ระยะยาว” ...
ที่มาข้อมูล : ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
ที่มารูปภาพ : AFP

Tanvarut Naumpakdee
(Tanvarut Naumpakdee)