สรุปข่าว
Gold Bullish
ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ
สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างประเทศ ได้แก่ รัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ สหรัฐและจีน จีนและไต้หวัน
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน
Gold Bearish
ธนาคารกลางสหรัฐอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมเดือนก.ย.
การเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนที่มีความคืบหน้ามากขึ้น
เงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น
EU เสี่ยงต่อภาวะขาดแคลนพลังงาน และภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ยาวนาน
ราคาทองคำ spot สัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นในระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ ซึ่งได้รับแรงหนุนมาจากดอลลาร์อ่อนค่า หลังจากที่ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ ภายหลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมเดือนนี้
ทั้งนี้ ECB ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อไป อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำปรับตัวขึ้นไม่มากนักเนื่องจากยังคงได้แรงกดดันจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งประธานเฟดยังคงเดินหน้าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุก และยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็ววันนี้
ทั้งนี้นักลงทุนทั่วโลกต่างมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ ขณะที่สหภาพยุโรปมีแนวโน้มความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ยาวนานที่สุด จากผลกระทบสงครามรัสเซียและยูเครน โดยล่าสุดรัสเซียจะระงับการจัดส่งพลังงานโดยสิ้นเชิงให้แก่ชาติตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นก๊าซ น้ำมัน ถ่านหิน หรือพลังงานใด ๆ
อย่างไรก็ตาม การหยุดชะงักของท่อส่งก๊าซ Nord Stream 1 หมายความว่าการขนส่งก๊าซของรัสเซียลดลง 89% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้สภาพยุโรปมีความเสี่ยงมากขึ้นต่อการเกิดภาวะขาดแคลนพลังงานโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่กำลังมาถึง และส่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง ส่งผลต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค เนื่องจากต้นทุนค่าอาหาร เชื้อเพลิง และสาธารณูปโภคสูงขึ้น และอาจกระทบต่อเศรษฐกิจที่มีปัญหาเดิมอยู่แล้ว
ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของสหภาพยุโรป แม้ว่าขณะนี้ยุโรปกำลังจัดเตรียมแหล่งก๊าซจากทางเลือกอื่น ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมก๊าซธรรมชาติหรือ LNG จากสหรัฐอเมริกา และท่อส่งก๊าซจากนอร์เวย์ และอาเซอร์ไบจาน อย่างไรก็ตาม LNG ก็มีราคาแพงกว่าท่อส่งก๊าซมาก
ทั้งนี้สหภาพยุโรปทั้ง 27 ประเทศได้อนุมัติแผนการลดการใช้ก๊าซลง 15% ภายในเดือนมี.ค.ปีหน้า ซึ่งจะชดเชยการสูญเสียก๊าซจากรัสเซีย
เงินยูโรแข็งค่าเทียบดอลลาร์ ถึงเวลาที่ค่าเงินยูโรกลับมาหรือยัง?
สัปดาห์ที่ผ่านมาจะเห็นว่าค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น ฟื้นตัวขึ้นจากเดิมที่ค่าเงินยูโรอ่อนค่ามากสุดรอบ 20 ปี ซึ่ง 1 ยูโรเท่ากับ 1 ดอลลาร์ และร่วงหนักไปต่ำกว่า
1 ดอลลาร์ด้วยซ้ำ ซึ่งค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเป็นเพราะตอบสนองต่อการปรับขึ้น
อัตราดอกเบี้ย 0.75% ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งผลให้ช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐและยุโรปแคบลง อย่างไรก็ตามเป็นเพียงปัจจัยสั้น ๆ เท่านั้น ซึ่งค่าเงินยูโรยังมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลงอีกไป คาดว่ายังไม่ถึงระดับต่ำสุด
เนื่องจากมีแนวโน้มความเสี่ยงของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อาจล่าช้ากว่าประเทศสหรัฐอเมริกา หรือประเทศอื่น ๆ ด้วยปัจจัยต่อเงินเฟ้อที่พุ่งสูง ผลกระทบของสงครามรัสเซียและยูเครนที่ส่อแววยาวนาน หนี้สาธารณะของประเทศในยุโรป ท่ามกลางที่ยุโรปจำเป็นต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อสกัดเงินเฟ้อ แม้เสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็ตาม ทำให้แนวโน้มค่าเงินยูโรยังคงอ่อนค่าเมื่อเทียบดอลลาร์ ส่งผลให้ดอลลาร์ยังคงแข็งค่าได้
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มราคาทองคำในสัปดาห์นี้คาดเคลื่อนไหว Sideways โดยติดตามสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนส.ค. ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนส.ค. นอกจากนี้สหรัฐเปิดเผยดัชนีการผลิตรัฐนิวยอร์กเดือนก.ย. ยอดค้าปลีกเดือนส.ค. ดัชนีกิจกรรมการผลิตของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนก.ย. การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.ของม.มิชิแกน (เบื้องต้น)
ราคาทองคำมีแนวรับอยู่ที่ 1,700 ดอลลาร์ และ 1,680 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 1,740 ดอลลาร์ และ 1,750 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองแท่งในประเทศมีแนวรับ 29,400 บาท และ 29,300 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 29,800 บาท และ 29,900 บาท
ที่มา ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง
ภาพประกอบ ฮั่วเซ่งเฮง
ที่มาข้อมูล : -