สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันพฤหัสบดี (10 เม.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์
และจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 98.10 ดอลลาร์ หรือ 3.19% ปิดที่ 3,177.50 ดอลลาร์/ออนซ์

สรุปข่าว

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 98.10 ดอลลาร์ หรือ 3.19% ปิดที่ 3,177.50 ดอลลาร์/ออนซ์
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ร่วงลง 1.99% แตะที่ระดับ 100.866 และเป็นปัจจัยหนุนตลาดทองคำ เนื่องจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
ตลาดทองคำยังได้ปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ โดยหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรกับประเทศต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงจีนนั้น รัฐบาลจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการเพิ่มการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 84% จากเดิม 34%
ราคาทองฟิวเจอร์ในช่วงเช้าวันนี้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ โดยแม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศระงับการขึ้นภาษีศุลกากรจากประเทศต่าง ๆ เป็นเวลา 90 วัน แต่กลับยังคงเดินหน้าปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน โดยขณะนี้สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรวมทั้งสิ้นในอัตรา 145%
โดยหลังจาก ปธน.ทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรกับประเทศต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงจีน รัฐบาลจีนได้ตอบโต้ด้วยการเพิ่มการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 84% จากเดิม 34%
ขณะที่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวระบุว่า ปธน.ทรัมป์ประกาศเพิ่มการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสู่ระดับ 125% ในวันพุธ (9 เม.ย.) แต่อัตราภาษีดังกล่าวยังไม่รวมกับที่ปธน.ทรัมป์เรียกเก็บภาษีในอัตรา 20% เพื่อลงโทษจีนที่ไม่สกัดการไหลทะลักของยาเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ขณะนี้สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 145%