ภาษี "ทรัมป์" พ่นพิษทั่วโลก ประเทศไทยเตรียมรับแรงกระแทก
วันนี้ 2 เมษายน 2568 คือ วันดีเดย์ ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศและเริ่มใช้ "ภาษีศุลกากรตอบโต้" (Reciprocal Tariff) ต่อทุกประเทศทั่วโลก
แรงกระแทกครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น ทั้งกับประเทศไทยและทั่วโลก
ที่ทรัมป์ย้ำว่าจะขึ้นภาษีให้หมดทุกประเทศพร้อมๆกันไม่เว้นแม้แต่กลุ่มเดียว
เพื่อลดการเสียเปรียบ ลดการขาดดุล ให้สหรัฐได้ประโยชน์ที่สุด
ตามนโยบายอเมริกาต้องมาก่อน
หลังจากลงนามคำสั่งดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ประธานาธิบดีทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงประธานาธิบดี
ที่มีชื่อว่า “แผนการค้าที่เป็นธรรมและเท่าเทียม (Fair and Reciprocal Plan)”
ซึ่งสั่งให้มีการตรวจสอบมาตรการทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของประเทศคู่ค้าอย่างครอบคลุม
แผนดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อกำหนด “ภาษีศุลกากรตอบโต้” (Reciprocal Tariffs)
กับประเทศที่เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ
“ภาษีศุลกากรตอบโต้” หมายถึง การเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้า
ในอัตราเดียวกับที่ประเทศเหล่านั้นเก็บภาษีสินค้าส่งออกจากสหรัฐฯ
นโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อให้เกิด “ความเท่าเทียมทางการค้า” ระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า
หรือพูดง่ายๆสหรัฐไม่เสียเปรียบ ไม่ขาดทุน
ภาษีเป็นเครื่องสำคัญของประธานาธิบดีทรัมป์ ในการสู้รบทางการค้ากับทั่วโลก
นับตั้งแต่วันเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 20 มกราคม 2568 ผู้นำสหรัฐ ได้เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าอย่างต่อเนื่อง
เริ่มจากแคนาดา-เม็กซิโก ขึ้น 25% จีน 20% กลุ่มเหล็ก-อะลูมิเนียมทั่วโลกขึ้น 25%
และยังมีการขู่เก็บ 200% กับไวน์-สุรายุโรปอีกด้วย
โดยภาษีตอบโต้ที่เกิดขึ้นนี้ ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ
ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในระดับสูง
ซึ่งหมายรวมครอบคลุมไปถึงประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศเดียว
เช่น สหภาพยุโรป (EU), ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
รวมไปถึงกลุ่มประเทศเกิดใหม่ เช่น อินเดีย ซึ่งมีอัตราภาษีค่อนข้างสูง
อาจได้รับผลกระทบเช่นกัน ตัวอย่างเช่น อินเดียเรียกเก็บภาษี 25%
สำหรับการนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐฯ
หมายความว่า สหรัฐฯ อาจเรียกเก็บภาษีในอัตราเดียวกันกับรถยนต์นำเข้าจากอินเดียด้วย
และจะมีผลกระทบไปทั้งห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตามหลายประเทศเองต่างก็พยายามหาทางเจรจาต่อรอง
และตอบโต้กลับมา เช่น กรณีของจีน ที่ขึ้นภาษีโต้กลับสหรัฐ และฟ้ององค์กรการค้าโลก WTO
ทำให้บรรยากาศการค้าโลกเต็มไปด้วยความตึงเครียด จนกลายเป็นสถานการณ์สงครามการค้า
สรุปข่าว
กลับมามองที่บ้านเรา ประเทศไทยของเราเอง
ก็ต้องรับกับแรงกระแทกครั้งนี้เช่นกัน
เป็นวิกฤตที่จะกระทบกับการส่งออกอย่างหนัก
มีหลายกลุ่มสินค้าที่จะได้รับผลกระทบ
ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ไทย ติดอันดับเป็นหนึ่งในประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าลำดับที่ 11 - 12
ส่วนในประเทศกลุ่มอาเซียน ไทยเราเป็นรองแค่เวียดนามเท่านั้น
ปี 2566 สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย
โดยมีมูลค่าการส่งออก 67,659 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ไทยได้เกินดุลการค้าสหรัฐฯ 29,045 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ปี 2567ไทยยังคงเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ
ประมาณ 45,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสที่ไทยอาจถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลสหรัฐฯ
ในเรื่องความไม่สมดุลทางการค้า
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
และประธานศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า
ผลกระทบของทรัมป์ 2.0 โดยเฉพาะมาตรการภาษี
และมีการตอบโต้กันระหว่างสหรัฐ จีน ยุโรป
รวมถึงเม็กซิโก และแคนาดา เป็นสิ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ต้องติดตามว่าในอาเซียนจะมีการปรับขึ้นภาษีจากสหรัฐหรือไม่
เพราะมี 2 ประเทศที่เกินดุลการค้าสูง ได้แก่ เวียดนามและไทย
อาจมีผลต่อเศรษฐกิจไทย
เบื้องต้นประเมินผลกระทบ
ทางตรง ทางอ้อม
รวมเม็ดเงินที่อาจจะต้องสูญเสีย
ไปประมาณ 160,472 ล้านบาท
ส่งออกติดลบ 1.52% ผลต่อจีดีพีลดลง 0.87%
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ยังต้องติดตามผลกระทบทางอ้อม
ที่อาจมีสินค้าจีนทะลักเข้ามาในไทยมากขึ้น
เพราะสินค้าจีนส่งไปขายสหรัฐด้วยราคาต้นทุนที่แพงขึ้น
เช่น จีนขายโน๊ตบุ๊คให้สหรัฐ ราคาเพิ่มขึ้นจาก 1,000 เหรียญสหรัฐ
เป็น 1,600 เหรียญสหรัฐ ยอดขายปรับลดลง
ไทยที่ส่งสินค้าชิ้นส่วนประกอบไปขายให้จีนก็จะส่งออกปรับลดลงเช่นกัน
โดยกลุ่มสินค้าไทยที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่
เหล็ก ผลิตภัณฑ์เหล็ก อะลูมิเนียม รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ
ทางด้านของกระทรวงพาณิชย์
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า โฆษกกระทรวงพาณิชย์
เปิดเผยว่า กลุ่มสินค้าไทยที่มีความเสี่ยงอาจถูกสหรัฐฯ พิจารณาใช้มาตรการทางภาษี
มีประมาณ 29 กลุ่มสินค้า
เนื่องจากพบสถิติการค้าที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับไทยมากขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
(ปี 61 – 66)
เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ,
เครื่องโทรศัพท์มือถือ,
ไดโอด ทรานซิสเตอร์และอุปกรณ์กึ่งตัวนำแบบไวแสง (โซลาร์เซลล์),
ยางนอกชนิดอัดลมที่เป็นของใหม่
หม้อแปลงไฟฟ้า
เครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่
เครื่องปรับอากาศ
เครื่องพิมพ์ที่ป้อนกระดาษเป็นม้วน
เครื่องส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์
วงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์
เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณ
และส่วนประกอบของสินค้าดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีรายการกลุ่มสินค้าอื่น ๆ ที่อาจมีความเสี่ยงโดนเก็บภาษีเช่นกัน
เช่น
เครื่องจักรไฟฟ้า
ตู้เย็นตู้แช่แข็ง
เฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบ
ผลิตภัณฑ์จากไม้
รวมถึงสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปบางรายการ
อาทิ ปลาสด แช่เย็น แช่แข็ง ขนมหวานที่ไม่มีส่วนผสมจากโกโก้
จากความเสี่ยงดังกล่าว ทำให้เอกชนเกิดความกังวลใจ
ขอให้มีการตั้ง Special Team ขึ้นมา
และล่าสุดก็ได้มีการพบหน้าประชุมกันแล้ว
กับตัวแทนภาคเอกชน และรัฐบาล
และหลังจากนี้จะมีการทำงาานร่วมกันอย่างใกล้ชิด
ในนามของ "Team Thailand"
14 มีนาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)
(สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย)
เข้าหารือกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
เพื่อร่วมกันกำหนดผลกระทบของประเทศไทยในนโยบายด้านเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา
โดยมี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีแล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
และทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลเข้าร่วมด้วยทั้งหมด
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญและตระหนักถึงเรื่องนี้อย่างมาก
โดยได้มีการตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯ ขึ้นมาเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
เพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับมือเรื่องนี้แล้ว รวมถึงได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
เพื่อปรับแผนการดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์และทันกับบริบทต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลง
และเชื่อมั่นว่าด้วยความรู้ความสามารถของภาคเอกชนทุกท่านสามารถที่จะช่วยรัฐบาลได้อย่างมาก
และรัฐบาลพร้อมร่วมมือกับภาคเอกชนในด้านต่าง ๆ
รวมถึงการหาแนวทางรับมือผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทย
พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงการใช้ศักยภาพด้านสินค้าเกษตรของไทย
ในการรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจดังกล่าวด้วย
ด้าน นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ระบุว่า การมาพบนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เพื่อนำความคิดเห็น
ของภาคเอกชน นำเรียนต่อนายกรัฐมนตรี
หลังจากที่ผ่านมา นโยบายการค้าของสหรัฐ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
และช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว
ที่ส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจของไทย
ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้าการลงทุนและค่าเงิน
ภาคเอกชน ได้ตระหนักถึงความท้าทายจากปัญหาดังกล่าว
จึงมุ่งมั่นที่จะทำงานกับภาครัฐอย่างใกล้ชิด
เพื่อปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจไทย
เพื่อให้ไทยสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกได้
และเบื้องต้นภาคเอกชน พอใจแนวทางที่รัฐบาลจะดำเนินการ
และมองว่าภาครัฐและเอกชน ต้องทำงานในแนวทางเดียวกัน
เพื่อผลประโยชน์ของผู้ประกอบการ และประเทศของเราด้วย
ซึ่งประเทศอื่นๆ ก็ทำแบบนี้เช่นเดียวกัน โดยที่ภาคเอกชนและภาครัฐต้องเป็นทีมงานเดียวกัน
และขับเคลื่อนไปด้วยกัน ซึ่งตนเองมองว่า
การทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์คิดว่าคงจะเป็นประโยชน์ ต่อเศรษฐกิจ และประชาชนของคนในชาติ
พร้อมย้ำว่านโยบายของโดนัลด์ทรัมป์มีความไม่แน่นอนสูง
ต้องหาแนวทางรับมือให้ทันและมีความคล่องตัว
ซึ่งทั้งภาครัฐและเอกชนเห็นตรงกันว่าไทยควรจะมีข้อเสนอแลกเปลี่ยนกับสหรัฐ
เพื่อไม่ให้เสียเปรียบและ ยังให้รู้สึกว่าเป็นมิตรซึ่งกันและกัน
Team Thailand เกิดขึ้นแล้ว และเป็นความหวังของคนไทยทุกคน
ในการรับมือกับทรัมป์ 2.0 ที่อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ
และไทยเองก็พึ่งพาการส่งออกเป็นรายได้สำคัญ
ที่มาข้อมูล : TNN รัฐบาลไทย หอการค้า รัฐบาลสหรัฐ
ที่มารูปภาพ : Freepik TNN

ทิฆัมพร อยู่กำเหนิด