อัตราส่วนทางการเงินที่แสดงความสามารถในการทำกำไรของหุ้นต่าง ๆ ที่นักลงทุนให้ความสนใจก็จะเป็นตัวเลขของอัตรากำไรสุทธิ หรือ Net Profit Margin ที่เมื่อตัวเลขยิ่งสูงก็ยิ่งแสดงถึงความสามารถในการทำกำไรที่สูง แต่อัตราส่วนที่นักลงทุนไม่ควรมองข้ามนั่นคือ EBT, EBIT และ EBITDA เราจะมาทำความรู้จักกับอัตราส่วนทางการเงินในกลุ่มนี้กัน
สรุปข่าว
EBT, EBIT และ EBITDA ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ใช้สำหรับวัดความสามารถในการทำกำไรของหุ้นแต่ละตัว ซึ่งทั้ง 3 อัตราส่วนนั้น ก็จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์หุ้นได้แตกต่างกัน
EBT หรือ Earnings Before Taxes คือ กำไรก่อนหักภาษีเงินได้ เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรของบริษัท โดยรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ยกเว้นภาษีเงินได้ ดังนั้น EBT จะแสดงให้เห็นภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัท โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบจากด้านภาษี
EBIT หรือ Earnings Before Interest and Taxes คือ กำไรจากการดำเนินงานของธุรกิจที่หักด้วยต้นทุนขาย ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานหลักของบริษัท
ส่วน EBITDA หรือ Earnings Before Interest, Taxes, Depreciation, and Amortization คือ กำไรจากการดำเนินงานในรูปเงินสด ทำให้เห็นสภาพคล่องของธุรกิจมากขึ้น เพราะค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย เป็นรายการที่ไม่ใช่เงินสด แต่ทางบัญชีให้ทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายตามอายุการใช้งาน
ซึ่งในการวิเคราะห์หุ้นในแต่ละอุตสาหกรรม ตัวเลขของทั้ง EBT, EBIT และ EBITDA ก็จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น ธุรกิจบริการจะมีค่าใช้จ่ายในการขายที่สูง จะทำให้เหลือ EBIT Margin ที่ต่ำลงพอสมควรเมื่อเทียบกับอัตรากำไรขั้นต้น ในขณะที่ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะค่อนข้างคงที่ในระดับต่ำ ทำให้ตัวเลขของ EBITDA จะเพิ่มสูงขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของรายได้ เป็นต้น
ในขณะที่ธุรกิจที่ใช้สินทรัพย์จำนวนมากในการดำเนินธุรกิจ เช่น ธุรกิจน้ำมัน โลจิสติกส์ โรงไฟฟ้า จะมีตัวเลข EBITDA ที่สูง แต่ตัวเลข EBIT จะลดต่ำลงมาจาก EBITDA ค่อนข้างมาก เนื่องจากมีค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ต้องหักออกไปค่อนข้างสูง เป็นต้น
ที่มาข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย/สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
ที่มารูปภาพ : Canva

null null
(yurapong_yus)