คุณปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น THAI กล่าวว่าเพื่อบรรลุเงื่อนไขผลสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการในขั้นสุดท้าย คณะกรรมการการบินไทย มีมติเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันศุกร์ที่ 18 เมษายน 2568 นี้ เพื่ออนุมัติแต่งตั้งกรรมการชุดใหม่ และหลังจากนั้นภายในเดือนเมษายน จะดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ และคาดว่าภายในเดือนมิถุนายน หุ้นของการบินไทยสามารถกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้
ขณะที่ล่าสุด ที่ประชุมคณะผู้บริหารแผนเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติการลดมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) จากหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1.30 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมทางบัญชีของบริษัทฯ ให้ใกล้เคียงศูนย์มากที่สุด โดยจะทำให้ทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วของบริษัทฯ ลดลงจากจำนวนประมาณ 283,033 ล้านบาท เป็นจำนวนประมาณ 36,794 ล้านบาท และทำให้ผลขาดทุนสะสมลดลงเหลือ 180 ล้านบาท และหากดูแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 1 ปี 2568 คาดว่าขาดทุนสะสมของการบินไทยจะกลับมาเป็นบวกได้
สรุปข่าว
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการในปี 2568 ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา พบว่าอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารหรือ cabin factor อยู่ที่ร้อยละ 85 แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเครื่องบินใหม่ที่เข้ามาล่าช้าจำนวน 9 ลำ ทำให้ในช่วงครึ่งปีแรกมีเครื่องบินให้บริการ 79 ลำ แต่จะกลับมาเริ่มจะทยอยส่งมอบตั้งแต่ไตรมาส 3 และจะครบในช่วงปลายปี ส่วนราคาน้ำมันก็มีเสถียรภาพบริหารจัดการได้ ประกอบกับการบินไทยจะมีการปรับความถี่ในเส้นทางบิน จีน อินเดีย เยอรมัน ปากีสถาน เหลือเพียงปัจจัยเสี่ยง จากนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลกระทบต่อค่าเงิน แต่ก็เชื่อว่าผลประกอบการในปีนี้คาดว่าน่าจะดีกว่าปี 2567 ซึ่งจะต้องชำระหนี้ตามสัญญาซึ่งอยู่ที่ราวปีละ 10,000 ล้านบาท และจะเหลือจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้โดยตามเงื่อนไขไม่น้อยกว่า 25 ของกำไรสุทธิ
ส่วนความคืบหน้าแผนการลงทุนศูนย์ซ่อมบำรุง MRO ท่าอากาศยานอู่ตะเภา ขณะนี้ การบินไทยได้หารือกับคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซีแล้ว ว่าทางการบินไทยจะเดินหน้าต่อ โดยจะร่วมมือกับ บริษัท การบินกรุงเทพ หรือ BA ซึ่งจะมีการลงนามความร่วมมือในเร็วๆ นี้ โดยการบินไทยได้โดยเตรียมงบสำหรับโครงการนี้ไว้ 10,000 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานของการบินไทยในปี 2567 มีรายได้รวม 187,989 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.7 แต่มีผลขาดทุน 26,901 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากผลขาดทุนทางบัญชีที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการแปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการจำนวน 45,271 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) (EBIT Margin) อยู่ที่ร้อยละ 22.1 ซึ่งดีกว่าประมาณการตามแผนฟื้นฟูกิจการ

null null
(athit_kus)