เรื่องต้องรู้ กับภาษีเงินปันผล
เงินปันผลจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10% ของมูลค่าเงินปันผล
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณได้รับเงินปันผล 100 บาทก็จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 10 บาท ภาษีของเงินปันผล ถือว่าเป็นภาษีที่ซ้ำซ้อนเนื่องจากบริษัทจะต้องเสียภาษีนิติบุคคลในอัตรา 20% ของกำไรสุทธิแล้วจึงจะมาเก็บจากนักลงทุนอีก 10% ซึ่งคิดเป็นภาษีที่ต้องเสียประมาณ28% เช่นบริษัทมีกำไรก่อนภาษี 100 บาท ก็จะต้องเสียภาษีนิติบุคคลในอัตรา 20% หรือ 20 บาท จากนั้นกำไรสุทธิที่เหลืออยู่ 80 บาท ถ้าบริษัทจ่ายเงินปันผลทั้งหมดก็จะถูกหักภาษีณที่จ่ายไว้อีก 10% หรือเท่ากับ 8 บาท ถัดไปก็คือเงินได้จากเงินปันผล นักลงทุนมีสิทธิ์ที่จะเลือกนำมาคำนวณเป็นเงินได้หรือไม่นำมาคำนวณก็ได้ แต่ถ้าเกิดเลือกนำมาคำนวณเป็นเงินได้ เราจะต้องนำเงินปันผลทั้งหมดที่เราได้รับมาคำนวณ ไม่สามารถที่จะเลือกเงินปันผลเพียงอย่างเดียว
สรุปข่าว
ควรที่จะนำเงินปันผลนั้นมาคำนวณเป็นเงินได้หรือไม่?
ต้องดูว่าเราเสียภาษีอยู่ในฐานที่เท่าไหร่ เพราะภาษีของเงินปันผลที่ถูกหักไป คิดเป็นประมาณ 28% ของกำไรของกิจการนั้นๆ ซึ่งถ้าเราเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในฐานที่ต่ำกว่า 28% เราก็ควรที่จะนำรายได้ของเงินปันผลเข้ามาคำนวณเป็นเงินได้ แต่หากเราเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในฐานที่สูงกว่า 30% ขึ้นไป ก็ไม่ควรนำเงินปันผลนั้นมาคำนวณเป็นเงินได้
จะรู้ได้อย่างไรว่ามีเครดิตภาษีเงินคืนจากเงินปันผลเท่าไหร่?
เราสามารถคำนวณได้โดย (มูลค่าเงินปันผล x อัตราภาษีนิติบุคคล =ผลลัทธ์) ÷ (100 - อัตราภาษีนิติบุคคล=ผลลัทธ์)
ยกตัวอย่าง ถ้าเราได้รับเงินปันผล 80 บาท ก็นำไปคูณอัตราภาษีนิติบุคคลที่ 20 ก็จะได้ 1,600 หลังจากนั้นให้หารด้วย 80 โดยการคำนวณจาก 100 ลบด้วยอัตราภาษีนิติบุคคล เท่ากับ 20 นั่นเอง ก็จะได้เครดิตภาษีเงินคืนสำหรับเงินปันผลหุ้นตัวนั้น ที่ 20 บาท
ที่มาข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย/สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
ที่มารูปภาพ : Canva