
เมื่อพูดถึงแนวคิดในการลงทุน แนวคิดที่คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึง นั่นคือแนวคิดของการลงทุน "เน้นคุณค่า" หรือ Value Investor ซึ่งชื่อของ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" จะถูกพูดถึงขึ้นมาทันทีเมื่อพูดถึงการลงทุนเน้นคุณค่า ด้วยประสบการณ์ แนวคิด ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคือต้นแบบของนักลงทุนหลาย ๆ คน
ดร.นิเวศน์ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวคิดในการลงทุนเน้นคุณค่า หรือ VI ที่เราเรียกกันจนติดปากว่าเป็นแนวคิดการลงทุนที่สามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับนักลงทุนได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้เหมือนกัน ดร.นิเวศน์ ได้ให้แนวทาง "4 ถูก" ในการลงทุนแบบ VI ที่น่าสนใจ และยังคงสามารถประยุกต์ใช้ได้ในปัจจุบัน

สรุปข่าว
ถูกแรกสำคัญที่สุดคือ "ถูกตลาด" การลงทุนในตลาดที่มีศักยภาพเป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่จะเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน ซึ่งถ้าหากต้องการสร้างความมั่งคั่ง ตลาดที่เราลงทุนนั้นจะต้องสามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนต้องค่อนข้างดี สม่ำเสมอ ในระดับ 10% ต่อปี และต้องเป็นการลงทุนในระยะยาว นั่นหมายความว่าถ้าเราลงทุนในลักษณะผลตอบแทนทบต้น จะใช้เวลาเพียง 7 ปี ที่จะสามารถเพิ่มเงินลงทุนของเราได้เป็นเท่าตัว แต่ปัจจุบันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่ว่่าทุกตลาดจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระดับนี้
ดังนั้นการเลือกตลาดให้ถูก จะต้องอาศัยการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ตลาดที่เศรษฐกิจมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และตลาดหลักทรัพย์เติบโตเชิงบวกในทิศทางเดียวกับตลาดด้วยเช่นกัน หรือที่ดร.นิเวศน์ให้คำนิยามว่า "Superstar" เช่น ตลาดสหรัฐอเมริกาที่เติบโตดีมาอย่างต่อเนื่อง สามารถผ่านวิกฤติต่าง ๆ มาได้ ดัชนีราคาหลักทรัพย์ก็ปรับตัวขึ้นตามไปได้เรื่อย ๆ หรือตลาดเวียดนามที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีต่อเนื่องในช่วง 10-20 ปีข้างหน้า เป็นต้น
ในขณะที่ตลาดไทยในอดีตเคยเป็น Superstar ที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนมากกว่า 10% ต่อเนื่องเป็น 10 ปี แต่สภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน GDP สามารถเติบโตได้แค่ 2-3% การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่สามารถตอบสนองในเชิงบวกมาดดว่านี้ได้ และอนาคตก็ยังมีความไม่แน่นอน
ถูกต่อไปคือ "ถูกเวลา" เมื่อเราประเมินได้ว่าเลือกถูกตลาดแล้ว การจับจังหวะการลงทุนก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ต้องเลือกโมเมนตั้มของตลาดให้ดี เข้าลงทุนตอนที่ตลาดนั้นไม่แพง ซึ่งอาจจะสามารถทำได้ใน 2 กรณีคือการลวทุนในตลาดที่มีสภาวะวิกฤติ แต่ไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐานที่ทรุดโทรมลง แต่อาจจะเป็นวิกฤติในบางอุตสาหกรรม ที่กระทบความเชื่อมั่นด้านการลงทุน แต่พื้นฐานโดยรวมของตลาดยังแข็งแรงอยู่ การลงทุนในช่วงนี้ก็จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถ้าหากว่าตลาดสามารถฟื้นตัวกลับมาได้หลังจากวิกฤติ
หรือการเลือกลงทุนในช่วงเวลาที่ตลาดนั้นกำลังเข้าสู่การเติบโตอย่างเต็มตัว ที่คาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะเติบโตในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง โครงสร้างพื้นฐาน ภาคการผลิต การค้า การลงทุนกำลังขยายตัว ซึ่งอาจจะกินเวลาต่อเนื่องในระยะ 10-20 ปี ก็จะสามารมเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้
ถูกที่สามคือ "ถูกตัว" นั่นก็คือการเลือกลงทุนในหุ้นที่ถูกตัวนั่นเอง ซึ่งถ้าเราถูกเลือตลาด ถูกเวลา และเลือกหุ้นถูกตัว ก็จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนหลายเท่าตัว จากการลงทุนระยะยาวในธุรกิจที่มีสินค้า หรือบริการเป็นที่ต้องการ ซึ่งเราจำเป็นที่ต้องมีความเข้าใจการลงทุน ศึกษาพื้นฐานธุรกิจ แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคต ธุรกิจต้องยั่งยืน ผู้บริหารต้องมีความสามารถ โปร่งใส สินค้าทดแทนได้ยาก งบการเงินดี ซึ่งดร.นิเวศน์จะให้ความสนใจกับ "Superstock" เป็นพิเศษ
และถูกสุดท้ายคือ "ถูกราคา" ในตลาดหลักทรัพย์มีหุ้นพื้นฐานดีอยู่ไม่น้อย แต่ไม่ได้หมายความว่าหุ้นทุกตัวจะราคามีที่เหมาะสม ดังนั่นเราควรเลือกหุ้นที่ราคาไม่สูงมากนัก P/E อยู่ในระดับ 10 เท่า แต่อาจจะสูงถึง 20 เท่าได้ ถ้าเป็น Superstock ส่วนเงินปันผลก็ควรจะอยู่ที่ 3-5% เป็นอย่างน้อย ควรเป็นธุรกิจที่อนาคตดี กิจการดี ไม่ผันผวน มีกำไรสม่ำเสมอ ซึ่งควรมีไว้ในพอร์ตประมาณ 5 บริษัทใน 5 อุตสาหกรรม เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่มีความมั่นคงสูง ธุรกิจโตเล็กน้อย แต่ยังสามารถทำกำไรได้ดี P/E ต่ำ ปันผลสูง เป็นต้น
ดร.นิเวศน์ได้ทิ้งท้ายว่า ถึงแม้ว่าเราจะสามารถศึกษาหาข้อมูลด้านการลงทุน วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ หรือสามารถใช้ประสบการณ์ในการตัดสินใจลงทุนได้ทั้ง "ถูกตลาด" "ถูกเวลา" "ถูกตัว" และ "ถูกราคา" แล้วนั้น สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือการลงทุนอย่างใจเย็น อย่าใจร้อนหวังเพียงการเก็งกำไรในช่วงสั้น ๆ ต้องตั้งใจสะสมเงินลงทุน และลงทุนในระยะยาว มีความเชื่อมั่นในการลงทุน และคอบติดตามสถานการณ์ และก็ปัจจัยต่าง ๆ ที่จะมีผลกระทบต่อการลงทุนของเราอยู่เสมอ ก็จะสามารถใช้แนวทางการลงทุนนี้เป็นกุญแจไขประตูการลงทุนสู่ความมั่งคั่งได้ในอนาคต
ที่มาข้อมูล : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มารูปภาพ : TNN