ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้เปิดรับฟังความคิดเห็น จากผู้เกี่ยวข้องในเรื่องการปรับปรุงการคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 ระหว่างวันที่ 4 - 17 ก.พ.68 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดผลกระทบของดัชนีจากหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่และทำให้ดัชนีมีการกระจายตัวของน้ำหนักหลักทรัพย์ที่เหมาะสมมากขึ้น
โดยปัจจุบันดัชนีดังกล่าวใช้วิธีการคำนวณแบบ Market Capitalization Weight ซึ่งให้สัดส่วนน้ำหนัก โดยคำนวณตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ของแต่ละหลักทรัพย์ในดัชนีเป็นหลัก วิธีการดังกล่าวแม้ว่าจะสามารถสะท้อนขนาดและความสำคัญของแต่ละหลักทรัพย์ได้ อย่างไรก็ตามพบว่าในบางกรณีหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่จะมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีสูง ซึ่งอาจทำให้ดัชนีไม่สะท้อนภาพรวมของตลาดเท่าที่ควรและส่งผลกระทบต่อการกระจายความเสี่ยงของนักลงทุน
ขณะที่ข้อเสนอในการจำกัดน้ำหนักหลักทรัพย์รายตัวใน SET50 และ SET100 Index Series ตลาดหลักทรัพย์ฯ เสนอให้พิจารณาจำกัดน้ำหนักหลักทรัพย์รายตัว (Constituent Stock Weight Capping) เพื่อช่วยลดอิทธิพลของหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ต่อดัชนี เนื่องจากเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับผลการหารือเบื้องต้นกับผู้ใช้งานดัชนี และผลการศึกษาต่างประเทศข้างต้น โดยจะพิจารณานำแนวทางดังกล่าว มาใช้กับ SET50, SET100, SET50FF และ SET100FF
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทำการทดสอบ (Index Simulation) พบว่า การจำกัดน้ำหนักหลักทรัพย์รายตัวในดัชนี SET50 และ SET100 ที่ระดับร้อยละ 10 นั้น สามารถลดอิทธิพลของหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยังคงรักษาโครงสร้างและความสามารถในการสะท้อนภาพรวมของตลาดไว้ได้ นอกจากนี้ ที่ระดับร้อยละ 10 ยังสอดคล้องกับข้อกำหนดของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่กำหนดให้กองทุนรวมสำหรับผู้ลงทุนทั่วไป (Retail Mutual Fund) ไม่สามารถลงทุนในหลักทรัพย์รายตัวเกินร้อยละ 10 ได้
สรุปข่าว
ดังนั้น ข้อเสนอตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้เสนอแนวทางการปรับปรุงการคำนวณดัชนีด้วยการจำกัดน้ำหนักรายหลักทรัพย์ ดังนี้
1.กำหนดให้หลักทรัพย์รายตัวที่เป็นองค์ประกอบในดัชนี SET50, SET50FF, SET100 และ SET100FF มีน้ำหนักไม่เกินร้อยละ 10 ในแต่ละรอบการคัดเลือก
2.กำหนดให้มีการ Rebalance น้ำหนักของหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีดังกล่าวเป็นรายไตรมาส และในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างรอบคัดเลือก เช่น กรณีหลักทรัพย์ IPO ขนาดใหญ่ หรือกรณีควบรวมและซื้อกิจการ (Merger & Acquisition) โดยแนวทางการ Rebalance จะเน้นการลด Index Turnover ที่ไม่จำเป็น เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ใช้ดัชนี
ขณะที่ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ จากมุมมองของบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี ระบุว่าหากอิงตามกรอบข้อเสนอเบื้องต้น ประเมินหลักทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบเชิงลบ ซึ่งอยู่ทั้งในดัชนี SET50 และ SET100 ได้แก่ DELTA โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลออกจากกองทุน Passive fund ราว 1,600 ล้านบาท (บวกลบ) เนื่องจากปัจจุบัน DELTA มีน้ำหนักใน SET50 ที่ราวร้อยละ 13 และ SET100 ที่ราวร้อยละ 11
ขณะที่ดัชนี SET50FF และ SET100FF ไม่มีหลักทรัพย์ได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่มีหลักทรัพย์ที่มีน้ำหนักเกินร้อยละ 10 ของดัชนี
ด้านหลักทรัพย์ที่จะได้ผลเชิงบวก อิงจากโอกาสที่จะมี Passive fund เข้าซื้อกรณีปรับน้ำหนักตามเกณฑ์ใหม่ ได้แก่ PTT, ADVANC, AOT, GULF, PTTEP, CPALL, SCB, TRUE, KBANK, BDMS และ KTB
จากการประเมินข้างต้น ทีมกลยุทธ์ของกรุงศรี จึงแนะนำหลีกเลี่ยงการเก็งกำไรใน DELTA เนื่องจากอาจถูก “ขาย” ลดความเสี่ยงออกมาก่อนของนักลงทุน แต่กรณีการรับฟังความคิดเห็นผ่านและนำมาบังคับใช้ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มต้นครึ่งปีหลัง ก็คาดว่าปัจจัยนี้จะกลับมากระทบอีกครั้ง ตอนใกล้การ Rebalance ครั้งแรก จากการปรับพอร์ตของ Passive Fund
อีกหนึ่งความเห็นจาก หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ที่เชื่อว่าการจำกัดน้ำหนักหุ้นรายตัวในดัชนี หรือ Cap Weight จะเป็นหนึ่งในแนวทางที่สามารถช่วยลดความผันผวนของดัชนีจากหุ้น Market Cap ขนาดใหญ่ตัวใดตัวหนึ่งได้ ซึ่งหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากประเด็นนี้ เมย์แบงก์ก็ชี้ไปที่ DELTA เช่นกัน เพราะมาร์เก็ตแคปปัจจุบันมีสัดส่วนต่อดัชนีเท่ากับร้อยละ 13 หากใช้วิธี Cap Weight ที่ร้อยละ 10 ก็เท่ากับสัดส่วนของ DELTA จะถูกจำกัดเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น ซึ่งหากบังคับใช้ก็เชื่อว่าทำให้ Passive Fund ลดน้ำหนัก DELTA เพื่อให้ลดลงมาเท่ากับระดับ Cap Weight
ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์ ก็จะเป็นหุ้นทุกบริษัทในดัชนี SET50 จากการถูกกระจายน้ำหนักเพิ่มขึ้น โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือหุ้นที่มี Market Cap ขนาดใหญ่ที่สัดส่วนต่อ SET50 ต่ำกว่าร้อยละ 10 โดยรายชื่อหุ้น 5 อันดับแรก ได้แก่ PTT, ADVANC, AOT, GULF และ PTTEP ซึ่งเบื้องต้น คาดว่าจะเห็นเม็ดเงินไหลเข้าช่วง 64-114 ล้านบาท

Athit Kusita
(Athit)