ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ในวันนี้ ( 5 กุมภาพันธ์ 2568 ) คงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทย ปี 2568 ไว้ที่ 2.4-2.9% การส่งออกคาดว่าจะขยายตัวได้ 1.5-2.5% อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.8-1.2%
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธาน กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวจำกัด การกีดกันทางการค้าที่รุนแรง และทิศทางทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องเป็นความท้าทายต่อการส่งออก
ส่วนภาคอุตสาหกรรมบางสาขาเผชิญกับการแข่งขันจากสินค้าต่างชาติ ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังอ่อนแอ จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการวางแนวทาง เพื่อลดผลบกระทบทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว โดยใช้ประโยชน์จากกระแสการแยกขั้วของ Supply Chain ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังต้องเร่งทำข้อตกลงทางการค้าเพิ่มเติมจาก FTA ไทย-EFTA ที่เพิ่งสำเร็จ เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
ส่วนประเด็นที่ต้องจับตา คือ นโยบายการค้าของสหรัฐ หลังจากที่สหรัฐประกาศจะขึ้นอัตราภาษีนำเข้าต่อกลุ่มประเทศเป้าหมาย ต่อเม็กซิโก แคนาดา ในอัตรา 25% และจีน 10% ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ และจะยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้นในปี 2569 นอกจากนี้ ยังผลักดันนโยบายเร่งด่วนผ่านการใช้คำสั่งของฝ่ายบริหาร รวมถึงนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ ครอบคลุมทั้งประเด็นการค้าที่ไม่เป็นธรรม การจัดการคนเข้าเมือง และการถอนตัวจากข้อตกลงปารีส เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าว จะทำให้การค้าโลกได้รับแรงกดดัน ขณะที่จีนที่ไม่สามารถส่งออกไปยังสหรัฐ อาจจะไหลทะลักกลับมาที่ไทยและประเทศคู่ค้าของไทย ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง
พร้อมแนะให้ไทยต้องรีบเร่งในการจับตาดู โดยเฉพาะมาตรการตอบโต้ด้วยมาตรการทางภาษีและมาตรการทางการค้ากลับสหรัฐ โดยเฉพาะมาตรการทางอ้อม คือการไหลเข้ามาของสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามา
นายเกรียงไกร กล่าวถึง กรณีที่ไทยอาจโดนมาตรการทางภาษีจากสหรัฐด้วย เนื่องจากเป็นประเทศที่เกินดุลการค้า และมีสัดส่วนการส่งออกสูงถึง 17% ดังนั้น รัฐบาลจะต้องเร่งหาทางเจรจาเชิงรุกกับสหรัฐ และมียุทธศาสตร์ในการแลกเปลี่ยนสินค้า อย่างไรก็ตามมองว่า การจัดตั้งวอร์รูมเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อนำข้อมูลไปเร่งเจรจากับสหรัฐต่อไป ขณะเดียวกันจะต้องขยายตลาดด้านการส่งออกเพิ่มเติม
สรุปข่าว
พร้อมกันนี้ กกร. ได้เสนอแนวทางเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือทั้งผลกระทบจากทางตรงและทางอ้อม
1.การเจรจาระดับรัฐในเชิงรุก เพื่อป้องกันและบรรเทาการใช้มาตรการทางการค้าจากสหรัฐ รวมทั้งสร้างความร่วมมือกับประเทศในอาเซียนเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจร่วมกัน
2.การสนับสนุนในด้านกฎหมาย กฎระเบียบการค้า เพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐ
3.การบูรณาการเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมภายในประเทศและการปฏิรูปกฎหมายเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน
4.การใช้มาตรการทางการเพิ่มเติม นอกเหนือจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด ปรับลดระยะเวลาการไต่สวนการใช้มาตรการด้านการค้า และ การใช้มาตรการควบคุมการนำเข้าตามพ.ร.บ.การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซื้อสินค้า พ.ศ.2522
5.การควบคุมการตั้งหรือขยายโรงงาน รวมทั้งการให้การส่งเสริมในอุตสาหกรรมที่มีกำลังการผลิตเกินความต้องการ รวมถึงการกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรมในเขต Freezone อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้า
6.การส่งเสริมสินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือ สินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand ทั้งการเพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ การส่งเสริมขยายตลาดภาคเอกชน รวมทั้งการกำหนดเงื่อนไขการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศในโครงการรัฐ เป็นต้น
ที่มาข้อมูล : ที่ประชุม กกร.
ที่มารูปภาพ : Freepik
Thikamphon Yukamnoet
(Thikamphon Yukamnoet)