TISCO เปิด 4 ปัจจัยหนุนหุ้น "ญี่ปุ่น" พุ่งทะยานปี 2025
ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2025 ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งจากนโยบายกีดกันทางค้าของสหรัฐฯ ความเสี่ยงเงินเฟ้อที่อาจกลับมาเร่งตัวขึ้น ตลอดจน Valuation ของตลาดหุ้นหลายแห่งที่เริ่มตึงตัว ปัจจัยเหล่านี้อาจสร้างแรงกดดันให้กับตลาดหุ้นทั่วโลกได้
การเลือกตลาดหุ้นลงทุนในปีนี้ จึงต้องเน้นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง มีความเสี่ยงน้อยจากนโยบายกีดกันทางการค้า รวมถึงมีปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นเฉพาะตัวและมี Valuation ที่ไม่สูง ซึ่งตลาดหุ้นที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วน คือ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น จากเหตุผล 4 ข้อดังต่อไปนี้
สรุปข่าว
1. เศรษฐกิจญี่ปุ่นพึ่งหลุดจากภาวะเงินฝืดและมีทิศทางฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง การบริโภคภายในประเทศ (Domestic consumption) ถือเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจญี่ปุ่น เนื่องจากปีที่ผ่านมารัฐบาลมีการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการปรับขึ้นค่าจ้างถึง 5% (Shunto wage negotiations) ทำให้ญี่ปุ่นสามารถพลิกออกจากภาวะเงินฝืดเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อได้สำเร็จ นอกจากนี้ เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังได้แรงหนุนจากการลงทุนในภาคธุรกิจที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตลอดจนการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งล้อไปกับเทรนด์ AI โดยภาพรวม Bloomberg Consensus ประเมินว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นปี 2025 จะเติบโตได้ราว 1.2% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อ คาดว่าจะยังทรงตัวในระดับที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่ 2% สะท้อนให้เห็นว่า ญี่ปุ่นยังควบคุมเงินเฟ้อได้ดี
2. ญี่ปุ่นมีความเสี่ยงน้อยจากนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน ญี่ปุ่นเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯอยู่ที่ระดับเพียง 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวคิดเป็นไม่ถึง 1% ของ GDP สหรัฐฯ เมื่อเปรียบเทียบกับจีน ซึ่งเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯมากถึง 3.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 3.5% ของ GDP สหรัฐฯ ทำให้ญี่ปุ่นน่าจะได้รับผลกระทบจำกัดจากนโยบายกีดกันทางการค้า นอกจากนี้ สหรัฐฯอาจลดการนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นได้ยาก เนื่องจากสินค้าที่ญี่ปุ่นส่งออกไปยังสหรัฐฯ มักจะเป็นสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ในภาคการผลิต เช่น เครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
3. ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีการปฏิรูป Corporate Governance ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นญี่ปุ่นถือเป็นตลาดที่นักลงทุนมองข้าม สะท้อนจากสัดส่วนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (PBV < 1 เท่า) มากถึง 45% ของหุ้นทั้งหมด เนื่องจากบริษัทญี่ปุ่นส่วนใหญ่เก็บเงินสดไว้กับบริษัทเป็นจำนวนมากถึงกว่า 72% ของมูลค่าตลาด และยังมีอัตราการจ่ายปันผล (Dividend payout ratio) ที่ต่ำเพียงแค่ราว 30% ของกำไรสุทธิ
ตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าวและดำเนิน “นโยบายปฏิรูปบรรษัทภิบาล” มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเปลี่ยนภาพบริษัทจดทะเบียนในญี่ปุ่นให้สร้างผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) สูงขึ้น ผ่านมาตรการซื้อหุ้นคืนและการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงขึ้น ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทในตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้ทำการซื้อหุ้นคืนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะเดียวกัน การจ่ายเงินปันผลก็ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้ได้ทำให้นักลงทุนทั่วโลกหันมาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นและทำให้ Valuation ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น
4. Valuation ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นซื้อขายในระดับที่สมเหตุสมผล แม้ว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบัน Forward P/E ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังซื้อขายอยู่ในระดับ 19 เท่า ซึ่งใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ระดับ 18 เท่า โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กำไรของบริษัทจดทะเบียนของญี่ปุ่นในปีนี้จะเติบโตได้ราว 9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น ได้แก่ ธนาคาร ประกัน เซมิคอนดักเตอร์
ปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนส่วนใหญ่มีความกังวล คือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งสวนทางกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกที่กำลังลดอัตราดอกเบี้ยลง อย่างไรก็ตาม เรามองว่า BOJ จะทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป มากกว่าที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นจะปรับตัวขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ 0.5% ขึ้นไปแตะระดับ 1% ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2026
จาก 4 ปัจจัยเหล่านี้ จึงมีโอกาสที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะสามารถทำผลตอบแทนได้ดีอย่างต่อเนื่องและเป็นตลาดหุ้นที่นักลงทุนต้องมีในพอร์ตเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ Outperform ตลาดในปี 2025
ที่มาข้อมูล : ธนาคารทิสโก้
ที่มารูปภาพ : TNN