ท้าทาย! คอนโด-ออฟฟิศ ซัพพลายล้นตลาด l การตลาดเงินล้าน

ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย เผยแนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ ปี 2568 นายสัญชัย คูเอกชัย ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาตลาดอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยข้อมูลวิจัยส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่พักอาศัยว่า ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 มีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดราว 9,800 ยูนิต เพิ่มขึ้นกว่า 360% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน อย่างไรก็ตาม ยอดขายใหม่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 9.9 ทำให้สัดส่วนยอดขายรวมยังคงอยู่ที่ร้อยละ 35 ต่ำกว่าระดับร้อยละ 40 ที่ถือเป็นเกณฑ์สุขภาพดีของตลาด โดยอุปทานใหม่นี้กว่าร้อยละ 51 กระจายไปยังพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ และอีกร้อยละ 45 อยู่ในพื้นที่ชานเมืองตามแนวรถไฟฟ้า 

สรุปข่าว

บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด (Knight Frank Thailand) ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยข้อมูลวิจัยแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ 4 เซกเตอร์ สำหรับปี 2568 ในงานสัมมนาออนไลน์ Knight Frank Foresight 2025: Collaboration พบว่าคอนโดมิเนียมและอาคารสำนักงาน ยังเผชิญภาวะซัพพลายล้นตลาด กดดันอัตราการขายชะลอตัว ขณะที่ตลาดเช่าเติบโตขึ้น ผลจากการเพิ่มขึ้นของชาวต่างชาติ (Expat) และการท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัว ในส่วนภาคโรงแรมได้รับแรงหนุนจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และภาค อุตสาหกรรม-โลจิสติกส์ ยังเติบโตต่อเนื่องจากการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) และการขยายตัวของเขต EEC

ส่วนคอนโดฯ ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ หรือ CBD มีการเปิดตัวลดลงและส่วนใหญ่เป็นโครงการระดับเกรด A โดยปัจจุบันราคาขายเฉลี่ยใน CBD อยู่ที่ 236,000 บาทต่อตารางเมตร ขณะที่พื้นที่ชานเมืองและรอบนอกกรุงเทพฯ อยู่ที่ 127,000 และ 72,000 บาทต่อตารางเมตรตามลำดับ

สำหรับตลาดคอนโดฯ หรู (Prime และ Super Prime) ซึ่งมีราคามากกว่า 200,000-250,000 บาทต่อตารางเมตร อุปทานใหม่ในปี 2567 ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยคอนโดฯ ระดับ Super Prime มีอยู่ประมาณ 6,500 ยูนิต 

ขณะที่ระดับ Prime อยู่ที่ 7,200 ยูนิต ทั้งสองกลุ่มมียอดขายเกินร้อยละ 80 ทำให้ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนโครงการใหม่ในปีนี้ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากอุปทานที่ยังคงสูงและกำลังซื้อลดลง

นายสัญชัย ยังชี้ว่า ปัจจัยที่อาจช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ คือการเพิ่มขึ้นของจำนวนชาวต่างชาติ (Expat) ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่ง ณ สิ้นปี 2567 มีอัตราการเติบโต ร้อยละ 7.1 โดยกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดมาจากจีน ร้อยละ 28 ฟิลิปปินส์ ร้อยละ 25 และญี่ปุ่น ร้อยละ 14 แนวโน้มนี้อาจส่งผลให้ตลาดเช่าเติบโตขึ้น ซึ่งอาจดึงดูดนักลงทุนให้กลับมาสนใจตลาดคอนโดฯ ในทำเลที่เหมาะสม 

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอาจช่วยเพิ่มความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาวในบางพื้นที่ แต่โดยรวมแล้ว ตลาดคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ยังคงต้องจับตาดูแนวโน้มเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคต่อไป 

ส่วนตลาดสำนักงาน นายปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่าย Occupier Strategy & Solutions ส่วนงาน Office เปิดเผยแนวโน้มในปี 2568 คาดว่าอัตราการเช่าโดยรวมจะยังคงลดลง โดยปัจจุบันอัตราการเข้าพื้นที่เช่า (Occupancy Rate) อยู่ที่ร้อยละ 77 ลดลงร้อยละ 1.3 จากปีก่อน และคาดว่าจะลดลงต่อเนื่องไปถึงปี 2570 ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้น ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาด ได้แก่ แนวโน้ม "Flight to Quality" ที่องค์กรต่าง ๆ ย้ายไปอาคารที่มีคุณภาพสูงขึ้น การปรับพื้นที่ทำงานให้เหมาะสม (Space Optimization) และการให้ความสำคัญกับอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Going Green) 

ทั้งนี้ การฟื้นตัวของตลาดคาดว่าจะเกิดขึ้นหลังปี 2570 เมื่ออุปทานใหม่เริ่มลดลงและตลาดปรับเข้าสู่ภาวะสมดุลระหว่างเจ้าของอาคารและผู้เช่าอีกครั้ง 

ที่มาข้อมูล : ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย

ที่มารูปภาพ : -

avatar

Passavee Thi
(passavee_thi)

แท็กบทความ