
ในช่วงกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา การปฏิรูปการศึกษาเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศกำลังพัฒนา ส่งผลให้เกิดสถาบันการศึกษาใหม่หลายพันแห่ง ผู้ใช้แรงงานและเกษตรกรต่างก็ทุ่มเทเงินทองจำนวนมากส่งลูกหลานให้เรียนสูง ๆ จะได้ทำงานที่มีรายได้ดีอย่างทนายความ วิศวกร และนักการทูต แต่ก็ใช่ว่าบทสรุปจะลงเอยอย่างที่คาดหวัง เพราะบัณฑิตที่จบปริญญากลับมีจำนวนมากมาย ขณะที่ตำแหน่งงานในออฟฟิศไม่ได้มากพอที่จะรองรับทั้งหมด ส่งผลให้ผู้ที่เรียนจบระดับปริญญาจำนวนไม่น้อยต้องตกงาน
รายงานที่เผยแพร่ในปี 2565 จัดทำโดยบริษัทที่ปรึกษา Higher Education Strategy Associates ระบุว่า ในระหว่างปี 2549-2561 จำนวนนักศึกษาในประเทศกำลังพัฒนาที่ลงทะเบียนเรียนในระดับอุดมศึกษาเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จาก 79 ล้านคน เป็น 150 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม รายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ของสหประชาชาติ (UN) เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว พบว่า การว่างงานของคนรุ่นใหม่ที่มีวุฒิการศึกษาสูงในประเทศกำลังพัฒนามีอัตราสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วราว 2-3 เท่า ขณะที่ในประเทศกลุ่มรายได้ต่ำและประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางระดับล่าง (lower-middle-income) ซึ่งรวมประเทศต่าง ๆ ในเอเชียใต้และอาเซียน แอฟริกาเหนือ และตะวันออกกลาง มากกว่า 1 ใน 5 ของประชากรอายุต่ำกว่า 30 ปี ที่มีวุฒิการศึกษาสูงกว่ามัธยมปลายอยู่ในภาวะว่างงาน โดยคนหนุ่มสาวที่เรียนจบมหาวิทยาลัยในประเทศกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะว่างงานมากกว่าผู้ที่จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน
วอลล์สตรีต เจอร์นัล ระบุว่า มีบัณฑิตจำนวนไม่น้อยเลือกอพยพไปยังต่างประเทศ ซึ่งบางครั้งเป็นการอพยพเข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย รายงานของพิว รีเสิร์ช ที่วิเคราะห์ข้อมูลสำมะโนประชากรสหรัฐฯ พบว่า ในปี 2565 ผู้อพยพเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมายและมีอายุระหว่าง 25-64 ปี ราวร้อยละ 36 มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่า เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 17 ในปี 2550 // ขณะที่บางส่วนชะลอการแต่งงานและมีบุตร ส่งผลให้จำนวนประชากรลดลงและกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก บัณฑิตบางส่วนที่ตกงานเป็นเวลานาน ก็ยอมทำงานต่ำกว่าวุฒิและมีรายได้น้อย อาทิ พนักงานร้านค้าปลีก หรือคนขับแท็กซี่ ซึ่งมีบทบาทต่อเศรษฐกิจโลกไม่มากนัก
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติเกาหลีใต้ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อต้นเดือนมีนาคม พบว่า ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกในปี 2567 จำนวนทั้งหมด 10,442 คน มีเพียงร้อยละ 70.4 ที่มีงานทำหรือได้รับข้อเสนอให้ทำงานภายในต้นปี 2568 ขณะที่ร้อยละ 29.6 หรือเกือบ 1 ใน 3 อยู่ในภาวะว่างงานหรือไม่ได้หางานอย่างจริงจัง คิดเป็นร้อยละ 26.6 และร้อยละ 3.0 ตามลำดับ นับเป็นตัวเลขที่สูงเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่รัฐบาลเก็บข้อมูลเรื่องนี้ในปี 2557 ซึ่งสะท้อนถึงภาวะตลาดงานที่มีการแข่งขันสูงแม่แต่ในกลุ่มที่มีการศึกษาในระดับสูงสุด
เมื่อแยกตามกลุ่มอายุ ในบรรดาผู้ตอบแบบสอบถาม 537 คน อายุต่ำกว่า 30 ปี ที่มีวุฒิปริญญาเอก ราวร้อยละ 47.7 เป็นผู้ว่างงาน ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดนับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูล // นอกจากนี้ อัตราการว่างงานยังแตกต่างกันตามสาขาวิชา โดยสาขาศิลปศาสตร์และมนุษยศาสตร์มีอัตราสูงสุดที่ร้อยละ 40.1 ตามด้วยสาขาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ คณิตศาสตร์ และสถิติ ที่ร้อยละ 37.7 // ส่วนสาขาสังคมศาสตร์ วารสารศาสตร์ และสารสนเทศ อยู่ที่ร้อยละ 33.1 // ในทางกลับกัน ผู้มีวุฒิปริญญาเอกในบางสาขา อาทิ สาธารณสุขและสวัสดิการ การศึกษา ธุรกิจ การบริหาร และกฎหมาย มีอัตราการว่างงานที่ค่อนข้างต่ำ
แม้ว่าภูมิทัศน์การทำงานในเกาหลีใต้จะท้าทายมากขึ้น แต่ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกที่ทำงานส่วนใหญ่ หรือราวร้อยละ 89 มองว่า งานของตนมีความเกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่ศึกษา และเมื่อถามถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเลือกสมัครงาน ราวร้อยละ 30.2 เลือกที่สอดคล้องกับสาขาวิชาที่ศึกษา รองลงมา คือ เงินเดือน ร้อยละ 26.1 และความมั่นคงในการทำงาน ร้อยละ 16.9
ตลาดงานของเกาหลีใต้อ่อนแอลงเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องการจ้างพนักงานที่มีประสบการณ์มากกว่าบัณฑิตจบใหม่ ขณะที่ความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์ข้อมูลแบบไม่ซ้ำ สะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการใช้ระบบอัตโนมัติทดแทนงานที่ใช้ทักษะและจ่ายค่าตอบแทนสูง

สรุปข่าว
จีนก็เผชิญปัญหาการว่างงานของคนรุ่นใหม่เช่นกัน โดยอัตราการว่างงานของคนจีนอายุระหว่าง 16-24 ปี แตะระดับเลข 2 หลักติดต่อกัน 13 เดือน นับตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2566 หลังรัฐบาลปรับการประเมินอัตราว่างงานแบบใหม่ตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2566 ไม่นับรวมจำนวนผู้ที่ยังศึกษาอยู่ ซึ่งตัวเลขกรอบสูงที่อยู่แถว ๆ ร้อยละ 17-18 สะท้อนว่า คนรุ่นใหม่จีนเกือบ 1 ใน 5 ไม่สามารถหางานทำได้
ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการจีน คาดการณ์ว่า ในปีนี้จีนจะมีบัณฑิตจบใหม่ราว 12.22 ล้านคน เพิ่มขึ้น 430,000 คนจากปีที่แล้ว และสูงกว่าในปี 2564 ที่มีบัณฑิตจบใหม่ 9 ล้านคน โดยทางการพยายามสนับสนุนมาตรการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มการจ้างงานในกลุ่มผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย
น่าสังเกตว่า คนรุ่นใหม่จีนที่เรียนจบสูงกว่าปริญญาตรีมีจำนวนมากกว่าผู้ที่เรียนจบปริญญาตรี เนื่องจากตลาดงานหดตัวลงตามเศรษฐกิจ ส่งผลให้บัณฑิตส่วนหนึ่งที่ว่างงานเลือกที่จะเรียนเพิ่มอีก จึงเป็นเหตุผลที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งในจีนมีจำนวนนักศึกษาปริญญาโทมากกว่าปริญญาตรีในปี 2567
โดยในปีที่แล้วว่า จำนวนนักศึกษาปริญญาโทของมหาวิทยาลัยหลานโจวในมณฑลกานซูมากกว่านักศึกษาปริญญาตรีเป็นครั้งแรก // เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเจ้อเจียงในมณฑลเจ้อเจียง มีนักศึกษาใหม่ระดับปริญญาโท 5,382 คน มากกว่าจำนวนนักศึกษาปริญญาตรี 40 คน // เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยชิงหัวในกรุงปักกิ่งรายงานจำนวนนักศึกษาระดับปริญญาตรีในปีการศึกษาที่แล้วอยู่ที่ 3,760 คน ส่วนนักศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอกรวมกันแตะที่ 12,069 คน // ด้านมหาวิทยาลัยฟู่ตันในนครเซี่ยงไฮ้ มีนักศึกษาระดับปริญญาตรี 15,000 คน และนักศึกษาระดับปริญญาโทและเอกอยู่ที่เกือบ 37,000 คน
“หลิน ชานฮุ่ย” ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากศูนย์การศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยเฝิงเจี่ยในไต้หวัน อธิบายว่า การเรียนจบระดับปริญญาตรีในจีนอาจยังไม่เพียงพอในบางสาขา อาทิ นวัตกรรมเทคโนโลยีและการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ ดังนั้น การเรียนระดับปริญญาโทในสาขาเหล่านี้จึงยังมีความจำเป็น แต่ก็มีผู้ที่เรียนปริญญาโทและเอกมากเกินไปในบางสาขา ขณะที่บุคลากรด้านอาชีวะไม่เพียงพอ ทำให้มีการแข่งขันรุนแรงมากในงานระดับสูง แต่ไม่มีใครทำงานในระดับรากหญ้า แถมการเรียนระดับปริญญาโทและเอกก็เป็นไปแบบไร้เป้าหมาย
อินเดียก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ไม่อาจหลีกหนีผลกระทบจากปรากฏการณ์จบปริญญาแต่ไม่มีงานทำ เนื่องจากการขยายตัวด้านการศึกษาอย่างรวดเร็ว ทำให้คนรุ่นใหม่อินเดียที่มีวุฒิการศึกษาระดับอุดมศึกษาหรือประกาศนียบัตรเทียบเท่าเพิ่มขึ้น 3 เท่า บางคนเป็นวิศวกรและช่างเทคนิคที่มีทักษะสูงในศูนย์กลางเทคโนโลยีทางตอนใต้ของประเทศ แต่หลายคนก็กำลังดิ้นรนอย่างมาก
ผลการศึกษาของ ILO ที่เผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว พบว่า ในปี 2565 คนรุ่นใหม่อินเดียที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี ซึ่งจบการศึกษาระดับปริญญา ราวร้อยละ 29 ตกงาน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าชาวอินเดียที่ไม่จบการศึกษาระดับประถมเกือบ 9 เท่า
ประเทศจากยุโรปอย่างฟินแลนด์ก็เผชิญปัญหาเช่นกัน โดยมีนักวิจัยหลังปริญญาเอกจำนวนมากที่ต้องแข่งขันกันหางานทำ ท่ามกลางจำนวนบัณฑิตระดับปริญญาเอกที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบัน ฟินแลนด์มีผู้สำเร็จการศึกษาปริญญาเอกที่ยังว่างงานราว 1,400 คน และ 2 ใน 3 เป็นผู้ว่างงานระยะยาว
ข้อมูลของสำนักงานการศึกษาแห่งชาติฟินแลนด์ พบว่า ผู้ที่จบปริญญาเอกในสาขาต่าง ๆ เช่น มนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ และวิศวกรรมศาสตร์ มีแนวโน้มว่างงานหลังจากสำเร็จการศึกษาได้ 1 ปี เพราะแม้การเรียนระดับปริญญาเอกจะเน้นด้านการวิจัย แต่มีบัณฑิตเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่หางานทำในมหาวิทยาลัยได้
สำหรับการจ้างงานในบริษัทเอกชนที่เป็นผู้จ้างอันดับรองลงมา มักโฟกัสความเชี่ยวชาญด้านการจัดการโครงการและความเป็นผู้นำ ซึ่งเป็นทักษะที่ไม่ได้สอนโดยตรงในระดับปริญญาเอก ในทางกลับกัน ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจำนวนมากก็ต้องการทำงานในด้านการวิจัยโดยเฉพาะ และไม่สนใจงานประเภทอื่น อย่างไรก็ตาม อัตราการว่างงานของผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกในฟินแลนด์ยังคงต่ำกว่าผู้สำเร็จการศึกษาในระดับการศึกษาอื่น ๆ
ในส่วนของไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุในรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 4 ปี 2567 ว่า มีจำนวนผู้ว่างงานทั้งสิ้น 360,000 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือคิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 0.88 เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่อยู่ที่ร้อยละ 0.81 ซึ่งผู้ว่างงานส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักศึกษาจบใหม่อายุ 20-24 ปี โดยนักศึกษาจบใหม่ระดับปริญญาตรีว่างงานมากที่สุดจำนวนราว 132,100 คน
ขณะที่การว่างงานเพิ่มขึ้นทั้งในกลุ่มที่เคยและไม่เคยทำงานมาก่อนที่ร้อยละ 12.4 และ 5.4 ตามลำดับ ซึ่งกลุ่มที่เคยทำงานมาก่อนส่วนใหญ่ออกมาจากสาขาการผลิต และสาขาการขายส่ง/ขายปลีก ส่วนกลุ่มที่ไม่เคยทำงานมาก่อนส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาในสัดส่วนที่ร้อยละ 53.3
สำหรับผู้ว่างงานระยะยาวตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเช่นกันที่ร้อยละ 13.0 โดยมีจำนวน 67,000 คน มากกว่าครึ่งหรือร้อยละ 67.6 เป็นผู้ที่ไม่เคยทำงานมาก่อน
ที่มาข้อมูล : Reuters, WSJ, Korea Times, VOA
ที่มารูปภาพ : TNN

Adthawan Law
(Adthawan Law)