จับตาภาษีทรัมป์! "Adidas" ห่วงฉุดเป้าหมาย l การตลาดเงินล้าน

บริษัท อาดิดาส รายงานว่า ปี 2024 ที่ผ่านมา ยอดขายของบริษัทฯ กลับมาเติบโตด้วยตัวเลข 2 หลักได้อีกครั้ง ที่ร้อยละ 12 สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยกลุ่มรองเท้า เป็นกลุ่มนำการเติบโตที่้ร้อยละ 17 เป็นผลสำเร็จมาจากการขยายกลุ่มสินค้าให้ครอบคลุมช่วงราคาที่กว้างขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ส่วนกลุ่มเครื่องแต่งกาย เติบโตที่ ร้อยละ 6 และ แอคเซสเซอรี เติบโตร้อยละ 2

อีกทั้งยังเติบโตในทุกช่องทาง และทุกตลาด ทั้ง ยุโรป ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของแบรนด์ รวมถึง จีน, ตลาดเกิดใหม่, ละตินอเมริกา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ 

ส่วนเป้าหมายปี 2025 ตามการเปิดเผยของบริษัทดังกล่าว ระบุว่า จะมุ่งเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้สูงขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงยอดขาย และจะให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้บริโภคในท้องถิ่น มีความสัมพันธ์กับผู้ค้าปลีกที่ดีขึ้น ถือเป็นปัจจัยหลักในการเพิ่มรายได้ รวมถึงมีความคิดริเริ่มทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยผลักดันการเติบโตของแบรนด์และกระตุ้นรายได้รวมให้เติบโตขึ้น

สรุปข่าว

รองเท้าและชุดกีฬา เป็นอีกอุตสาหกรรมที่ต้องติดตามนโยบายการขึ้นภาษีศุลกากรของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เช่น Adidas เองที่มีแผนเร่งสร้างการเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ แต่ด้วยนโยบายดังกล่าว อาจจะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายได้ อย่างไรก็ตาม Adidas ก่อนหน้านี้มีปัญหาทำให้ต้องฟื้นฟูธุรกิจ แต่ปีล่าสุด ผลประกอบการกลับมาเติบโตได้ดี และยังมีเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้มากขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่คู่แข่งยักษ์ใหญ่อย่าง Nike กำลังเพลี่ยงพล้ำ และยังต้องดิ้นรนเพื่อแก้ไขปัญหายอดขายตกต่ำของตนเอง จะไปติดตามในเรื่องเหล่านี้กัน

อีกทั้งคาดการณ์ว่า ยอดขายปี 2025 จะเติบโตด้วยตัวเลขหลักเดียว(ค่อนไปทางสูง) ส่วนกำไรจากการดำเนินงาน จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,700 ล้านยูโร ถึง 1,800 ล้านยูโร

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายดังกล่าวยังไม่รวมปัจจัยเสี่ยงจากกรณีการเปลี่ยนแปลงด้านภาษีศุลกากรจากสหรัฐอเมริกา

ซึ่ง บียอร์น กูลเดน (Bjorn Gulden) ซีอีโอ ของ อาดิดาส กล่าวว่า หากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราร้อยละ 25 กับประเทศอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น ก็คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้า และเงินเฟ้อให้ปรับตัวสูงขึ้น และจะทำให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าน้อยลง ปัจจัยดังกล่าวนี้ แม้จะรับรู้ไว้แล้ว แต่บริษัทฯ ก็ยังคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องทำก็คือ เตรียมตัวเอาไว้ก่อน และเมื่อถึงเวลา ก็ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว

โดยสินค้าอาดิดาส ที่ผลิตในเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 27 รองลงมาคือ อินโดนีเซีย ร้อยละ 19 และจีน ที่ร้อยละ 16

ทั้งนี้ กูลเดน เป็นผู้นำในการฟื้นฟูกิจการของ อาดิดาส นับตั้งแต่แบรนด์ ยุติความร่วมมือกับ คานเย เวสต์ (Kanye West) เมื่อปี 2022 และยุติการผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ ยีซี่ (Yeezy) ทั้งหมด ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลกระทบทางการเงินต่อบริษัทฯ อย่างมาก โดยเฉพาะสินค้าคงคลังจากแบรนดื ยีซี่ ที่ยังไม่ได้ขาย แต่ อาดิดาส ก็ตัดสินใจขายสินค้าที่เหลืออยู่ โดยสินค้าชิ้นสุดท้ายภายใต้แบรนด์ดังกล่าว สามารถขายออกได้ทั้งหมดเมื่อสิ้นไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา และบริษัทฯ มีผลประกอบการที่ดีขึ้น

โดย ซีอีโอ อาดิดาส กล่าวในรายงานประจำปีว่า บริษัทฯ มีความทะเยอทะยาน ที่จะเป็นแบรนด์เครื่องแต่งกายกีฬาชั้นนำ ให้ได้ในทุกตลาด แต่อาจยกเว้นสหรัฐอเมริกา ที่ ไนกี้ ยังครองตลาดนี้อยู่อย่างเหนียวแน่น

อย่างไรก็ดี สำหรับตลาดอเมริกา บริษัทฯ กำลังมองหาแนวทางใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเติบโต นอกเหนือจากรองเท้าผ้าใบย้อนยุค อย่าง แซมบ้า(Samba) และ กาแซล (Gazelle) เพราะต้องการที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งในสหรัฐฯ และในขณะเดียวกัน ก็จะพยายามเอาชนะแบรนด์เครื่องแต่งกายกีฬาแบรนด์ใหม่ ๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ออน รันนิ่ง (On Running) หรือว่า โฮก้า (Hoka) 

ด้าน ลูซิลา ซัลดานา (Lucila Saldana) นักวางกลยุทธ์ด้านรองเท้าและเครื่องประดับ จาก ดับบลิวจีเอสเอ็น (WGSN) บอกว่า กระแสบูมของ อาดิดาส แซมบ้า และ กาแซล ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม แม้สไตล์อันเป็นเอกลักษณ์เหล่านี้จะยังคงมีอยู่ในตลาดทั่วไป แต่ก็ดูเหมือนว่าจะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว

แต่สำหรับ กูลเดน น่าจะรู้ในเรื่องนี้ จึงได้เน้นย้ำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น รองเท้าผ้าใบพื้นบาง ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากกีฬามอเตอร์สปอร์ต และรองเท้าวิ่งที่ทำตลาดสำหรับการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะเป็นเทรนด์ขับเคลื่อนธุรกิจในระยะข้างหน้า 

ด้านข้อมูลจากรอยเตอร์ส รายงานส่วนแบ่งตลาดของ อาดิดาส ในปีที่ผ่านมา เติบโตขึ้น แต่ก็สวนทางกับ ไนกี้ ที่ปรับลดลง และไนกี้ ก็กำลังดิ้นรนในการแก้ไขปัญหาของตัวเองอยู่

เป็นข้อมูลจาก โกลบอลดาต้า (GlobalData) พบว่า ส่วนแบ่งทางการตลาดชุดกีฬา ของ ไนกี้ ในตลาดโลก ปีที่ผ่านมา ลดลงจาก ร้อยละ 15.2 ในปี 2023 เป็น 14.1 ในปี 2024 (ลดลงราวร้อยละ 1 ทีเดียว) ขณะที่ อาดิดาส เองปีที่ผ่านมา มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มขึ้นมามีสัดส่วนร้อยละ 8.9 ในปี 2024 จากร้อยละ 8.2 ในปี 2023

ส่วนแบรนด์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น นิว บาลานซ์(New Balance) ออน รันนิง(On Running) และโฮก้า (Hoka) ต่างก็มีส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน สะท้อนถึงการแข่งขันในตลาดเครื่องแต่งกายกีฬาในระดับโลกนั้นเพิ่มสูงขึ้น และหลาย ๆ แบรนด์สามารถแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดได้เพิ่มขึ้น แต่คู่แข่งรายใหญ่อย่าง ไนกี้ ยังคงแสวงหาการกอบกู้ส่วนแบ่งตลาดของตนให้กลับคืนมา 

ด้าน ฟุต ล็อกเกอร์ (Foot Locker) ประเมินอุตสาหกรรมรองเท้าสนีกเกอร์ ปี 2025 ว่า จะเป็นอีกปีที่ยังต้องมีส่วนลดสูงต่อไป เนื่องจากพันธมิตรแบรนด์ใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ คือ ไนกี้ ยังต้อง รีเซ็ต หรือต้องปรับโครงสร้างตัวเองใหม่ และในการปรับโครงสร้างนี้ ทำให้ต้องอาศัยเรื่องการลดราคาเพื่อระบายสต็อกให้หมดก่อน

ทั้งนี้ ปัจจุบัน ไนกี้ กำลังอยู่ในช่วงของการฟื้นฟูธุรกิจภายใต้การนำของ อีเลียด ฮิลล์ (Elliott Hill) ประธาน และซีอีโอคนใหม่ ที่กลับมารับตำแหน่งเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วและก่อนหน้านี้ เขาเคยกล่าวไว้ว่า บริษัทฯ จะต้องพึ่งพาการให้ส่วนลดจำนวนมากเพื่อเคลียร์สต็อก และการลดราคาจำนวนมากนี้ จะเป็นสาเหตของรายได้และกำไรที่ลดลง 

และแม้ว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะกระตุ้นยอดขายแบบเต็มราคา บนเว็บไซต์ในระยะต่อไป แต่การจะทำอย่างนั้นได้ ก็ต้องระบายสต็อกสินค้าเก่าออกอย่างจริงจัง ผ่านช่องทางที่ทำกำไรได้น้อยกว่า

ส่วนแนวทางการพลิกฟื้นธุรกิจนั้น ฮิลล์ มุ่งเน้น ไปที่การเริ่มต้นผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วยนวัตกรรม การสร้างธุรกิจขายส่งใหม่ และกระตุ้นความพยายามทางการตลาดด้วยการเล่าเรื่องที่เน้นไปที่นักกีฬาให้มากขึ้น

ที่มาข้อมูล : -

ที่มารูปภาพ : -

avatar

Passavee Thi
(passavee_thi)