สหรัฐฯ เสี่ยง เข้าสู่ภาวะถดถอย เซ่นนโยบายภาษี “ทรัมป์”

"โฮลเกอร์ ชเมดิ้ง" (Holger Schmieding) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก “Berenberg Bank” (เบเรนเบิร์ก แบงค์) ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า เขาไม่คิดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในระยะสั้นนี้ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความแข็งแกร่ง แม้จะมีปัจจัยที่สร้างความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีศุลกากรของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ก็ตาม

เขาย้ำด้วยว่าขณะนี้ ผู้บริโภคชาวอเมริกันยังมีกำลังซื้อ และมีแนวโน้มที่จะใช้จ่าย ขณะที่ตลาดแรงงานของสหรัฐฯ เองก็ยังคงแข็งแกร่งในระดับที่เหมาะสม อีกทั้งราคาพลังงานที่ลดลง รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการลดภาษีและการผ่อนคลายกฎระเบียบทางเศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนทำให้เขาไม่คิดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยในเร็วๆ นี้

แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เริ่มชัดเจนขึ้นก็คือ นโยบายของ "ทรัมป์" กำลังส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงหลังปี 2569 เป็นต้นไป นอกจากนี้ "ทรัมป์" ยังเป็นตัวแทนของราคาสินค้าที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภคชาวอเมริกันด้วย และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เขาเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในขณะที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี หรือในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความสับสนและวุ่นวาย

สรุปข่าว

ผลจากความปั่นป่วนที่เกิดขึ้น หลังจากประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” กลับเข้าสู่ทำเนียบขาว และประกาศเดินหน้านโยบายภาษีศุลกากร เริ่มทำให้เกิดคำเตือนตามมามากขึ้น ว่านโยบายเหล่านี้ อาจจะนำพาให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะเดินหน้าเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง บรรดานักกลยุทธ์ในวอลล์สตรีท ต่างกำลังส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้นในตลาดหุ้น อย่าง “มอร์แกน สแตนลีย์” เตือนว่าดัชนี S&P 500 มีความเสี่ยงที่อาจจะร่วงลงได้ถึงร้อยละ 20

ทั้งนี้ นอกจาก "โฮลเกอร์ ชเมดิ้ง" แล้ว บรรดาผู้นำภาคธุรกิจและนักเศรษฐศาสตร์ ต่างแสดงความกังวลว่าการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของทรัมป์ จะเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยที่ผู้บริโภคอาจต้องแบกรับภาระจากราคาสินค้านำเข้าที่สูงขึ้น นอกจากนี้ พวกเขายังเตือนด้วยว่า การลงทุน การจ้างงาน และการเติบโตทางเศรษฐกิจ อาจได้รับผลกระทบ เนื่องจากผู้บริโภคลดการใช้จ่ายและรอดูสถานการณ์ ในช่วงที่เศรษฐกิจเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะ “Stagflation” ซึ่งเป็นภาวะที่เงินเฟ้อสูงควบคู่ไปกับอัตราการว่างงานที่สูง

ขณะที่บรรดานักกลยุทธ์ในวอลล์สตรีท ต่างกำลังส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้นในตลาดหุ้น อย่าง “มอร์แกน สแตนลีย์” เตือนว่าดัชนี S&P 500 มีความเสี่ยงที่อาจจะร่วงลงได้ถึงร้อยละ 20 หากสงครามการค้าของ “โดนัลด์ ทรัมป์” นำพาเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย

"ไมเคิล วิลสัน" นักกลยุทธ์จาก "มอร์แกน สแตนลีย์" คาดการณ์ว่าดัชนี S&P 500 มีความเสี่ยงที่อาจจะปรับตัวลดลงได้มากถึงร้อยละ 5 ไปอยู่ที่ระดับ 5,500 จุดในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากรของ “ทรัมป์” และการใช้จ่ายทางการคลังที่ลดลง

และแม้ "วิลสัน" จะยังคงเชื่อว่าดัชนี S&P 500 มีโอกาสจะดีดตัวกลับขึ้นไปที่ระดับ 6,500 จุดได้ภายในสิ้นปีนี้ แต่เขาก็เตือนว่า “เส้นทางขาขึ้น” อาจเต็มไปด้วยความผันผวน เนื่องจากตลาดยังคงพิจารณาความเสี่ยงด้านการเติบโต ซึ่งอาจแย่ลงก่อนที่จะดีขึ้น และหากแย่ลงจริงหรือหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย ดัชนี S&P 500 ก็อาจร่วงลงได้ถึงร้อยละ 20 

นอกจาก "มอร์แกน สแตนลีย์" แล้ว บรรดานักวิเคราะห์จากธนาคารชั้นนำ เช่น JPMorgan และ RBC Capital Markets ต่างก็ปรับลดมุมมองเชิงบวกที่เคยมีต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปีนี้ เนื่องจากภาษีศุลกากรของทรัมป์ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ 

ในขณะที่ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้น ได้ฉุดดัชนี S&P 500 ให้ปรับตัวลงแล้วราวร้อยละ 2 นับตั้งแต่ต้นปี และปรับตัวลดลงร้อยละ 6.1 แล้วจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาเมื่อไม่ถึงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ด้านดัชนี Nasdaq 100 ก็ปรับตัลงจนเข้าใกล้ภาวะ "correction" หลังนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นอยู่ในระดับสูง

ขณะที่ความกังวลของนักลงทุนในวอลล์สตรีท ปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้นักลงทุนจำนวนมาก ได้หันไปถือพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น สะท้อนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปีลดลงอย่างรวดเร็วตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากคาดการณ์ว่าเฟด อาจกลับมาปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนมิถุนายน เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงมากเกินไป

ที่มาข้อมูล : CNBC, รอยเตอร์ส

ที่มารูปภาพ : -

avatar

Athit Kusita
(Athit)