
นายวิน พรหมแพทย์, CFA, ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์การลงทุนจากทั่วโลกยังคงมีความไม่แน่นอน โดยภาพรวมเศรษฐกิจโลกอิงจากสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลง จากนโยบายรัฐบาลของทรัมป์ ส่งผลให้ตลาดกลับมาอยู่ในโหมดเฝ้าระวัง อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างระมัดระวังมากขึ้น โดยมองว่าเฟดมีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.5 ในช่วงกลางปี และอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี และคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐน่าจะยังไม่ถดถอยในปี 2568 นี้ แต่คงเติบโตชะลอลงจากปี 2567
สำหรับเศรษฐกิจไทยปีนี้ คาดว่าจะเติบโตอยู่ในกรอบร้อยละ 2.4-2.7 ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่โตร้อยละ 2.5 โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงจะติบโตจะชอลง ทำให้มีโอกาสมากขึ้นที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกในปีนี้ หลังลดไปแล้ว 1 ครั้งในปีนี้ จาก 3 สัญญาณสำคัญ คือ 1) เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงจะติบโตต่ำลง สะท้อนจาก กนง.ปรับลด GDP ปีนี้ลง จากเดิมที่คาดไว้ร้อยละ 2.9 เหลือร้อยละ 2.5 2) เงินเฟ้อมีแนวโน้มต่ำในกรอบล่าง ของเป้าหมายที่ธนาคารแหงประทศไทยและกระทรวงการคลังตั้งไว้ที่ร้อยละ 1-3 และ 3) สินเชื่อมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ต่ำลง ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจน้อยลงตามไปด้วย

สรุปข่าว
สำหรับ การปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทย บลจ.กสิกรไทย มองว่า น่าจะเข้าใกล้จุดต่ำสุดแล้ว โดยคาดจุดต่ำสุดน่าจะอยู่ระดับประมาณ 1,100 จุด และในสิ้นปี 2568 นี้นาจะอยู่ระดับ 1,350 จุด คาดว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะให้อัตราผลตอบแทนที่ระดับร้อยละ 4 โดยหุ้นไทยปัจจุบันซื้อขายในระดับที่ถูกมากเมื่อเทียบกับในอดีต ด้วย Forward PER 12.93 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ย้อนหลังที่ 15.88 เท่า อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนควรติดตามมาตรการระยะสั้นที่จะเข้ามากระตุ้นตลาดหุ้นไทย
โดยกลยุทธ์การลงทุนมองเป็นโอกาสในการทยอยเข้าสะสมลงทุนในระยะยาว เน้น 3 กลุ่ม ที่ไม่น่าจะกระทบโดยตรง จากนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐที่มีความไม่แน่นอนสูง คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ,กลุ่มหุ้นที่จ่ายปันผลสูง เน้นที่หุ้นใหญ่ที่ย่อลงมามาก และมีความทนทานที่จะรับมือกับสงครามการค้า การขึ้นภาษีนำข้าของสหรัฐได้ รวมถึงทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ( REIT) ที่ลงทุนสำนักงานให้เช่าในไทยและสิงคโปร์ ลงทุนในค้าปลีกและระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และยังจะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะปรับลดลงด้วย
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย บลจ.กสิกรไทย มองว่า ยังมีโอกาสที่ กนง. จะลดอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 ในปีนี้ จึงยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตราสารหนี้ไทย โดยคาดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงร้อยละ 2.00-2.30 เป็นอีกโอกาสการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทย รวมถึงตลาดตราสารหนี้โลก ที่จะได้อัตราผลตอบแทนที่ดี และยังได้ส่วนต่างราคาจากแนวโน้มดอกเบี้ยที่จะลดลงในปีนี้ด้วย
ทั้งนี้ จากสภาวะตลาดทั่วโลกที่ยังมีความผันผวน ผู้ลงทุนจึงควรให้ความสำคัญกับการกระจายการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงขาดทุนจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียว อีกทั้งยังเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาดได้ ซึ่งพอร์ตหลักยังแนะนำกระจายการลงทุนในตลาดประเทศพัฒนาแล้ว อย่าง ตลาดหุ้นสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น เพิ่มโอกาสผลตอบแทนที่ดี โดย บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้ผู้ลงทุนแบ่งสัดส่วนการลงทุนออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
ส่วนที่ 1: Core Portfolio เน้นลงทุนเสริมพอร์ตให้เติบโตในระยะยาวอย่างยั่งยืน โดยแนะนำกองทุน K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-WPULTIMATE ในสัดส่วนประมาณร้อยละ 70-80 ของพอร์ต
ส่วนที่ 2: Satellite Portfolio เน้นลงทุนเพื่อโอกาสทำกำไรในระยะสั้น โดยแนะนำกองทุน K-GSELECT, K-USA , K-GTECH, K-VIETNAM, K-PROPI ในสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 ของพอร์ต
และส่วนที่ 3: Liquidity เน้นลงทุนเสริมสภาพคล่อง เพื่อโอกาสทำกำไรที่ได้มากกว่าเงินฝาก ในขณะเดียวกันยังสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ภายใน 1-2 วันทำการ โดยแนะนำกองทุน K-SF, K-SFPLUS, K-FIXED, K-FIXEDPLUS ในสัดส่วนประมาณร้อยละ 10 ของพอร์ต
สำหรับการดำเนินงานในปี 2568 บลจ.กสิกรไทย มุ่งสู่การเป็น Trusted Asset Manager ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านกองทุนที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ลงทุนไทยเป็นอันดับ 1 โดยได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจระดับโลกทั้ง J.P. Morgan Asset Management และ Lombard Odier เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยทั้ง AI และ Robotic Process Automation (RPA)มาปรับปรุงกระบวนการทำงาน
โดยตั้งเป้าหมายจะเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ให้แตะระดับ 2 ล้านล้านบาทภายในปี 2570 หรือ ใน 3 ปีนี้ จากปัจจุบัน AUM อยู่ที่ประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น ธุรกิจกองทุนรวม 1.19 ล้านล้านบาท, ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 2.46 แสนล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 1.72 แสนล้านบาท โดยยังครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม หลังในปีที่ผ่านมา บลจ.กสิกรไทย มีจำนวนผู้ลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลทั้ง K-PLUS และ K-My Funds คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 89 จากจำนวนผู้ลงทุนทั้งหมด และสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ในทุกช่องทางรวมได้เป็นจำนวนกว่า 500,000 ราย ณ สิ้นปี 2567 ที่ผ่านมา
ที่มาข้อมูล : บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด
ที่มารูปภาพ : บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด

Pornsawan Nantha
(Pornsawan)