บาทเสี่ยงอ่อนค่า แตะ 35 บาทตอดอลลาร์ หาก "ทรัมป์" ลุยขึ้นภาษี

คุณแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงินและ Head of Private Banking Relationship Management ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า เงินบาทเดือนที่ผ่านมาแม้จะยังผันผวน แต่ยังเคลื่อนไหวในกรอบ 33.50-34.00 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบค่าเงินบาท ซึ่งบางปัจจัยเคลื่อนไหวสวนทางกัน ทำให้บาทเปลี่ยนแปลงไม่มาก อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมา ยังพบว่าเงินยูโรที่กลับมาแข็งค่าจากปัจจัยการเมืองในยุโรปที่ดีขึ้น ทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าและกดดันให้บาทแข็งด้วย นอกจากนี้ ในเดือนที่ผ่านมา พบว่าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศปรับสูงขึ้นมาก ซึ่งอาจสะท้อนได้ว่า ธปท. เข้าซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐเพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาท ดังนั้น จึงเห็นว่าเงินบาทมักไม่เคลื่อนไหวทะลุแนวต้านสำคัญเท่าไหร่นัก

อย่างไรก็ดี ธนาคารไทยพาณิชย์มองว่าในระยะต่อไป เงินบาทอาจอ่อนค่าต่อได้ จากแนวโน้มการขึ้นภาษีนำเข้า โดยในช่วง 1 เดือนนี้ มองเงินบาทอาจเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบราว 34.00-34.50 บาทต่อดอลลาร์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผลกระทบต่อค่าเงินจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจแตกต่างกันไปในแต่ละสกุล โดยจะขึ้นอยู่กับขนาดของภาษีที่แต่ละประเทศที่ถูกจัดเก็บ ซึ่งความรุนแรงของมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) จะขึ้นอยู่กับส่วนต่างอัตราภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศนั้น ๆ โดยหากมีส่วนต่างภาษีมาก ก็อาจทำให้สหรัฐฯ ขึ้นภาษีตอบโต้มากขึ้น กดดันให้สกุลเงินนั้นอ่อนค่าแรง 

ซึ่งในส่วนของเงินบาท หากทรัมป์ขึ้นภาษีตอบโต้หรือขึ้นภาษีบางกลุ่ม เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และยานยนต์ ก็อาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าแตะ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ แต่หากทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศดังที่เคยขู่ไว้ในช่วงเลือกตั้ง อาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าเหนือ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ แต่ในทางกลับกัน หากทรัมป์ไม่ขึ้นภาษีนำเข้าตามที่ประกาศไว้ ก็อาจทำให้บาทแข็งค่ากว่าคาดได้ 


สรุปข่าว

ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดเงิน จากธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มองว่าเงินบาทในช่วง 1 เดือนนี้ อาจมีความเสี่ยงด้านอ่อนค่ามากกว่า เหตุเพราะจะถูกกดดัน จากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศตามคำขู่ ก็อาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าเหนือ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ได้

ด้านความเห็นจากคุณวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินต่อถึงปัจจัยในประเทศว่า หลัง กนง. ของบ้านเรา ได้ปรับลดดอกเบี้ยเหนือความคาดหมายไปเมื่อเดือนที่แล้ว มองว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยต่อได้อีกภายในครึ่งแรกของปีนี้ เนื่องจากภาวะการเงินของไทยตึงตัวต่อเนื่อง และแนวโน้มมาตรการเก็บภาษีนำเข้าที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอกว่าที่ กนง. คาดได้ ซึ่งมุมมองการลดดอกเบี้ยนี้ สอดคล้องกับมุมมองตลาด โดยตลาดให้โอกาสราวร้อยละ 80 ที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยอีกในการประชุมเดือนมิถุนายน และให้โอกาสราวร้อยละ 60 ที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งไปจบที่ร้อยละ 1.50 ภายในสิ้นปีนี้

ที่มาข้อมูล : -

ที่มารูปภาพ : -

avatar

Athit Kusita
(Athit)