ธุรกิจร้านอาหารและเชนร้านอาหาร 4 รายใหญ่ ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ในกลุ่ม ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป, เอ็มเค กรุ๊ป และ เอส แอนด์ พี ซินดิเคท
เริ่มที่ เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ณ สิ้นปี 2567 รายงานว่ามี แบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มที่อยู่ภายใต้การบริหาร มากกว่า 12 แบรนด์ มีสาขาจำนวนรวม ทั้งสิ้น 2,699 สาขา โดยเป็นสาขาที่ลงทุนเองจำนวน 1,400 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ 1,299 สาขา และทั้งหมดนี้ ร้อยละ 77 เป็นสาขาที่อยู่ในประเทศไทย ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 23 เป็นสาขาในต่างประเทศ
ตัวอย่างแบรนด์ในกลุ่ม คือ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี มีจำนวนสาขามากที่สุด 597 สาขา, แดรี่ ควีน 540 สาขา, สเวนเซ่นส์ จำนวน 377 สาขา และ เดอะ คอฟฟี่ คลับ จำนวน 383 สาขา
สรุปข่าว
ไมเนอร์ ฟู้ด รายงานด้วยว่า ยอดขายโดยรวมทุกสาขา เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยอดขายต่อร้านเดิม ลดลงร้อยละ 2.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
ส่วนรายได้ อยู่ที่ 32,132 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากการเติบโตของยอดขายในไทย สิงคโปร์ และออสเตรเลีย รวมถึงผลการดำเนินงานของกิจการร่วมค้าที่ดีขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้จากแฟรนไชส์เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เป็น 1,626 ล้านบาท เพราะเครือข่ายแฟรนไชส์มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น และมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้น
ต่อมาคือ เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป หรือ ซีอาร์จี เมื่อสิ้นปีที่แล้ว มีสาขารวมทุกแบรนด์จำนวน 1,396 สาขา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสาขาอยู่ในประเทศไทย โดย มิสเตอร์ โดนัท มีจำนวนสาขามากที่สุด อยู่ที่ จำนวน 436 สาขา, รองมาคือ เค เอฟ ซี จำนวน 340 สาขา และ อานตี้ แอนส์ จำนวน 237 สาขา
และในจำนวนรวมดังกล่าวนี้ ยังรวมถึงแบรนด์ร่วมทุน 5 แบรนด์ด้วย ซึ่งได้แก่ สลัดแฟคทอรี มีสาขาจำนวนรวม 46 สาขา, บราวด์ คาเฟ่ ปัจจุบันมีเหลือเพียง 1 สาขาเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมี คาเฟ่ อเมซอน เวียดนาม มีจำนวน 25 สาขา, ส้มตำนัว 10 สาขา และ ชินคันเซ็น ซูชิ จำนวน 72 สาขา
โดยปี 2567 ที่ผ่านมา ซีอาร์จี รายงานอัตราการเติบโตของสาขาเดิม เฉลี่ยทั้งหมด เติบโตที่ร้อยละ 1 ซึ่งไม่รวม คาเฟ่ อเมซอน เวียดนาม และมีอัตราการเติบโตจากยอดขายรวม ที่ร้อยละ 9 ส่วนรายได้จากการขาย อยู่ที่ 12,921 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากปีที่แล้ว
มาดูกันต่อที่ เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป ณ สิ้นปีที่ผ่านมา มีสาขาจากแบรนด์ร้านอาหาร รวมทั้งสิ้น 692 สาขา และในจำนวนนี้ แบรนด์สุกี้ เอ็มเค มีสาขารวมกันมากที่สุดจำนวน 441 สาขา ส่วนร้านอาหารญี่ปุ่น ยาโยอิ มีจำนวน 191 สาขา และแหลมเจริญซีฟู้ด มีจำนวน 40 สาขา
โดยเอ็มเค กรุ๊ป รายงานอัตราการเติบโตของสาขาเดิม หดตัวลงที่ร้อยละ 10
ส่วนรายได้จากการขายและบริการ อยู่ที่ 15,418 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7.5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
บริษัทดังกล่าว ระบุว่า ปี 2568 นี้ จะมีการปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่ ๆ โดยจะเน้นในเรื่องความคุ้มค่าและคงคุณภาพ เพื่อเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ให้มากขึ้น และดึงดูดความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภคให้มากขึ้น ขณะที่ธุรกิจรีเทล มีการเตรียมแผนการขยายช่องทางทั่วโลก และมองหาโอกาสในการเติบโตจากการลงทุนในธุรกิจใหม่
เช่น ล่าสุดเปิดตัว Hikiniku To Come (ฮิคินิคุ โตะ โคเมะ) เป็น ร้านแฮมเบิร์ก จากประเทศญี่ปุ่น ที่นำเข้ามาเปิดในไทย โดยเปิดสาขาแรกไปแล้ว ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งถูกคาดหวัง ว่าจะมีโอกาสเติบโตและขยายได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน เอ็มเค กรุ๊ป ระบุว่า จะยังคงเปิดโอกาสในการมองหาการลงทุนใหม่ๆ เพื่อเข้ามาเสริมพอร์ตธุรกิจให้แข็งแรงขึ้นอีกด้วย
และมาปิดท้ายที่ เอส แอนด์ พี ซินดิเคท ณ สิ้นปี 2567 มีสาขารวมทั้งสิ้นจำนวน 458 สาขา และในจำนวนรวมดังกล่าว เป็นร้าน เอส แอนด์ พี เบเกอรี ชอป ที่มีสาขามากที่สุด จำนวน 275 สาขา ส่วน เอสแอนด์พี เรสเตอรองต์ มีสาขาอยู่ที่ 133 สาขา
ส่วนรายได้ปี 2567 มีจำนวน 6,139 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งสาเหตุหลักมาจากรายได้จากร้านในประเทศ ลดลงไปร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ธุรกิจค้าปลีกและรับจ้างผลิต เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 และร้านอาหารต่างประเทศก็เพิ่มขึ้น ร้อยละ 2
เอสแอนด์พี รายงานอีกว่า ปีที่ผ่านมา รายได้จากการรับประทานในร้านเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบจากปีก่อน และเป็นการเพิ่มขึ้นในส่วนของเมนูอาหารจานเดียว อาหารว่าง และเครื่องดื่ม ส่วนการเปิดตัว เฟรช เบค (Fresh Bake) หรือ การอบสด ซึ่งเฟสแรกเปิดไปแล้วจำนวน 40 สาขา เพื่อส่งเสริมยอดขายในปีที่ผ่านมา ช่วยเพิ่มยอดขายสาขาเดิมให้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10
จะเห็นได้ว่าผลประกอบการของธุรกิจร้านอาหารในไทย ดูไม่สดใสนัก ซึ่งปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อยอดขายในปีที่ผ่านมา มาจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนตัวลง เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว ค่าครองชีพและภาระหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ขณะเดียวกัน การแข่งขันก็ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
หากมองถึงแนวโน้มของธุรกิจในปี 2568 จากมุมมองของผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้ง 4 ราย มองว่า ปัจจัยลบเดิม ๆ จะยังคงอยู่ต่อไปและกลายเป็นความท้าทายที่มากขึ้น
สรุปออกมาเป็นปัจจัยหลัก ๆ ดังนี้ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ มีการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะยังเปราะบาง อัตราเงินเฟ้อ และหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคอ่อนแอลง
ปัจจัยด้านต้นทุนธุรกิจ โดยการประกอบการอาจมีต้นทุนสูงขึ้น จากค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้น และความผันผวนของราคาวัตถุดิบ
และปัจจัยด้านการแข่งขันในธุรกิจ จากการแข่งขันด้วยกันเอง ทั้งจากรายเล็ก และรายใหญ่ รวมถึงแบรนด์ใหม่ ๆ จากจีนที่หลั่งไหลเข้ามาเปิดตัวในไทยกันมากขึ้น
ขณะที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในภาพรวมของประเทศปี 2568 นี้ คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.6 และมีมูลค่าตลาดรวม 657,000 ล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจร้านอาหาร มูลค่า 572,000 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 4.8 ส่วนธุรกิจร้านเครื่องดื่ม มีมูลค่า 85,320 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 3.2
ซึ่งการเติบโตดังกล่าว จะได้รับแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว, ราคาที่ปรับสูงขึ้นตามแนวโน้มของต้นทุนทางธุรกิจที่ปรับตัวสูงขึ้น, การขยายสาขา, และกลยุทธ์การตลาด เพื่อกระตุ้นยอดขายของผู้ประกอบการเอง
ส่วนปัจจัยลบของธุรกิจ เกิดจากกำลังซื้อของผู้บริโภคจะยังฟื้นตัวไม่เต็มที่, ต้นทุนธุรกิจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หลากหลายและมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น โดย ความแปลกใหม่, ประสบการณ์, สุขภาพ และ ราคาสมเหตุสมผล ได้กลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ของผู้บริโภคในปัจจุบัน อีกทั้ง เทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคก็ไม่ได้มีรูปแบบตายตัว, ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ต่ำ และเปลี่ยนแปลงตามกระแสอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเหล่านี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย แนะนำว่า ผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่ม จำเป็นต้องปรับรูปแบบธุรกิจให้ได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนเรื่องการแข่งขัน คาดการณ์ว่า จะเกิดขึ้นในทุกระดับราคาและประเภทธุรกิจ โดยในประเทศไทยมีความหนาแน่นของร้านอาหารต่อประชากรอยู่ที่ 9.6 ร้านต่อประชากร 1,000 คน ซึ่งนับว่าเป็นอัตราส่วนที่สูง

Passavee Thi
(passavee_thi)