จับตาลูกหนี้ได้อานิสงส์หลังดอกเบี้ยกู้ลด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.00 เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินและตลาดพันธบัตรต่างก็ปรับตัวลดลงตามในทันที 

จุดสนใจหลังผลการประชุมกนง. รอบนี้ ก็คือ การประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ที่เริ่มขึ้นภายใน 1 วันตามหลังกนง. และเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขาเดียว 

ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในกลุ่ม D-SIBs หรือธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญต่อระบบในประเทศ  (ธนาคารกรุงเทพ, กสิกรไทย, ไทยพาณิชย์, กรุงไทย, กรุงศรีอยุธยา และธนาคารทหารไทยธนชาต (ทีทีบี)) ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR,  MRR และ MOR ลงในกรอบประมาณร้อยละ 0.10-0.25  ซึ่งมีผลตั้งแต่ต้นเดือนมี.ค. 2568 


สรุปข่าว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อธุรกิจน่าจะได้รับอานิสงส์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ภายในช่วงกลางปีนี้ คาดภาระดอกเบี้ยปรับลดลงประมาณ 7,300-7,500 ล้านบาท

ขณะที่ ในเบื้องต้น (ณ 4 มี.ค. 2568 ) ยังไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์รวมไปถึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะ 3 เดือน, 6 เดือน, 12 เดือน และ 24 เดือนสำหรับบัญชีเงินฝากของบุคคลธรรมดา  

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า สินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อธุรกิจที่น่าจะได้รับอานิสงส์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ภายในช่วงกลางปีนี้ จะมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 56.4 ของสินเชื่อรวมทั้งระบบแบงก์ไทย 

ส่วนผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขาเดียวอีกครั้งในรอบนี้ จะทำให้ภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้รายย่อยและลูกหนี้ธุรกิจปรับลดลงประมาณ 7,300-7,500 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 1.0-1.2 ของประมาณการรายได้ดอกเบี้ยสุทธิปี 2568 (ภายใต้สมมติฐานที่เริ่มคำนวณผลของภาระดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลงในช่วงระหว่างเดือนมี.ค.-ธ.ค. 2568)


อย่างไรก็ดี  ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าแรงหนุนต่อภาพรวมสินเชื่อน่าจะอยู่ในกรอบจำกัด โดยยังคงตัวเลขประมาณอัตราการขยายตัวการสินเชื่อระบบแบงก์ไทยปี 2568 ไว้ที่ร้อยละ 0.6 ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับที่หดตัวลงร้อยละ 0.4 ในปี 2567 

ทั้งนี้ แม้อัตราดอกเบี้ยจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีความสำคัญต่อแนวโน้มสินเชื่อ แต่คงต้องรอแรงหนุนจากปัจจัยอื่นๆ ประกอบกันไปด้วยโดยเฉพาะแนวโน้มและจังหวะการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะมีผลต่อการเบิกใช้สินเชื่อ และการประเมินความเสี่ยงและความสามารถในการกู้และชำระคืนของผู้กู้ 

ดังนั้น 2 เรื่องสำคัญที่เป็นปัจจัยติดตามในช่วงที่เหลือของปี คือ 1) อัตราดอกเบี้ยในประเทศจะลดลงอีกหรือไม่ และ 2) โมเมนตัมของสินเชื่อและสถานการณ์เศรษฐกิจในภาพรวม

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN

avatar

Chakorn Nhukongmai
(Chakorn Nhukongmai)